วันอังคารที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2562

วัดถ้ำแห่งตุนหวง พุทธศิลป์สุดยิ่งใหญ่ท่ามกลางทะเลทรายของจีน

วัดถ้ำแห่งตุนหวง พุทธศิลป์สุดยิ่งใหญ่ กลางทะเลทรายของจีน


     สวัสดีค่ะ ท่านผู้อ่านทุกท่าน

     วัดทางศาสนาพุทธในประเทศไทยต่างก็มีสถาปัตยกรรมที่สวยงามค่ะ วัดทางศาสนาพุทธในประเทศจีนก็งดงามเช่นกันค่ะ เรามาชมภาพและอ่านเนื้อหากันค่ะ





  










     ตุนหวง (Dunhuang) เป็นเมืองโอเอซิสกลางทะเลทรายโกบี ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของมณฑลกานซู่ สาธารณรัฐประชาชนจีน แม้จะเป็นเมืองเล็กแต่มีบทบาทสำคัญยิ่ง ในฐานะเป็นแหล่งศาสนศิลป์ยิ่งใหญ่ที่สุดของจีน และมีสภาพสมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก

     ระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ ๕ นั้น ตุนหวงเป็นศูนย์กลางสำคัญบนเส้นทางไหม (Silk Road) เป็นทางผ่านและจุดแวะพักของขบวนคาราวานพ่อค้า และถนนไหมเป็นเส้นทางแห่งการเผยแพร่พุทธศาสนาจากอินเดียเข้ามายังประเทศจีน ตุนหวงจึงกลายเป็นศูนย์รวมเศรษฐกิจ และวัฒนธรรมหลายชนชาติ โดยเฉพาะจีน อินเดีย กรีก และอาหรับ หลอมรวมและช่วยกันสร้างวัดในถ้ำ ไว้เป็นที่สักการะบูชาพระพุทธเจ้า โดยปรากฏหลักฐานโบราณคดีอันล้ำค่ามีสภาพสมบูรณ์ในถ้ำแห่งนี้

     วัดถ้ำแห่งตุนหวง (Mogao Caves of Dunhuang) เป็นสิ่งก่อสร้างมหัศจรรย์บนหน้าผาของเขาหมิงซา กลางทะเลทรายโกบี ห่างจากตัวเมืองตุนหวง ไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ราว ๒๕ กิโลเมตร ผาหินถูกเจาะเป็นถ้ำจำนวนทั้งสิ้น ๔๙๒ แห่ง ภายในเป็นที่บรรจุพุทธประติมากรรม และภาพเขียนพุทธประวัติต่างๆ ในอดีตกาล และส่วนใหญ่ของถ้ำแห่งนี้ใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีทางศาสนาและการเมือง

     ในจำนวนถ้ำ ๔๙๒ แห่งนั้น โม่เกา (Mogao) เป็นถ้ำมีขนาดใหญ่ที่สุดและอายุเก่าแก่มาก รู้จักกันในชื่อ “ถ้ำพระพุทธรูปพันองค์” แกะสลักหน้าผาทางซีกตะวันออกของภูเขาหมิงซา รวมความยาว ๑,๖๐๐ เมตร ทุกตารางนิ้วของผนังถ้ำเต็มไปด้วยภาพวาดและรูปสลักทางศาสนา และถ้ำแห่งนี้มีภาพผนังกินเนื้อที่กว่า ๔๕,๐๐๐ ตารางเมตร นักโบราณคดีตะวันตกขนานนามภาพผนังแห่งนี้ว่า “ห้องสมุดบนผนัง”

     สิ่งก่อสร้างภายใน วัดถ้ำโม่เกา ทำจากไม้ในสมัยราชวงศ์ถังและราชวงศ์ซ่ง จำนวน ๕ หลัง คัมภีร์และหนังสือต่างๆ กว่า ๕๐,๐๐๐ ชิ้น และประติมากรรมเกือบ ๒,๕๐๐ ชิ้น ถ้ำโม่เกา ดำเนินการก่อสร้างนานนับพันปี ระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ ๔ เรื่อยมา จนถึงคริสต์ศตวรรษที่ ๑๔ ตั้งแต่ราชวงศ์ฉินถึงราชวงศ์หยวน รวม ๑๐ ราชวงศ์ โดยยุคทองอยู่ในช่วงกลางสมัยราชวงศ์ถัง

     ปราชญ์ท้องถิ่นตุนหวงระบุว่า หลวงจีนเหลอ ซุ่น (Lezun) เป็นผู้ริเริ่มก่อสร้างถ้ำเมื่อปี ค.ศ.๓๖๖ และมีโครงการสร้างพระพุทธรูป ๑,๐๐๐ องค์ประดิษฐ์ไว้ ใช้วิธีการระดมทุนก่อสร้างด้วยการบอกบุญพ่อค้าวาณิชที่เดินทางผ่านเส้นทางไหม บันทึกในสมัยราชวงศ์ถังยังระบุว่า ศิลปะที่ถ้ำผาโม่เกาส่วนใหญ่สร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์สุยและถัง ภาพวาดสมัยราชวงศ์ถังส่วนมากเป็นนางฟ้าล่องลอยในอากาศ ซึ่งถือเป็นเอกลักษณ์ของศิลปะถ้ำที่ตุนหวง ภาพเขียนสีภายในถ้ำ เป็นเรื่องราวของความดี-ความชั่ว และความสุขนิรันดร์ในสรวงสวรรค์ คล้ายกับว่าสวรรค์และโลกเป็นเอกภพเดียวกัน

     หอคอย ๙ ชั้น สร้างขึ้นหน้าถ้ำ เมื่อปี ค.ศ. ๖๙๕ ในสมัยจักรพรรดิอู๋เจ๋อเทียน แห่งราชวงศ์ถัง ใช้ปกป้องพระพุทธรูปองศ์ใหญ่ที่ประดิษฐานอยู่ภายใน เดิมทีหอคอยเป็นอาคาร ๔ ชั้น แต่เนื่องจากสภาพอากาศแห้งแล้งในทะเลทราย ตลอดจนภัยธรรมชาติแผ่นดินไหว ทำให้ห้องโถงพังทลายไป ต้องสร้างขึ้นมาใหม่หลายครั้งจนกลายเป็นหอคอย ๙ ชั้น ที่เห็นในปัจจุบัน ส่วนบริเวณชายคา สร้างขึ้นระหว่างปี ค.ศ. ๑๙๒๘ - ๑๙๓๕ เป็นของเก่าที่คงสภาพเดิมไว้ได้อย่างสมบูรณ์

     สถาปัตยกรรมของถ้ำโม่เกา ส่วนใหญ่มีบันทึกไว้ว่า ถ้ำยุคแรกๆ ก่อสร้างโดยมีเสาค้ำยันตรงกลางถ้ำ ลักษณะเป็นเสารูปทรงสี่เหลี่ยมคล้ายเจดีย์หนุนอยู่ตรงกลางของถ้ำ ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานแท่นบูชาพระพุทธรูปแกะสลักต่างๆ ต่อมาในยุคกลาง ขนาดของถ้ำใหญ่ขึ้น เปลี่ยนจากเสาค้ำยันมาเป็นหลังคาโค้งแบบพีระมิด มีแท่นบูชาใหญ่ชิดผนังถ้ำด้านหนึ่งสำหรับเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูป ภายใต้หลังคาโค้งออกแบบเพดานสำหรับเขียนภาพวาดสีสดใส ในยุคหลัง มีการขยายถ้ำใหญ่ขึ้น ความลึกประมาณ ๒๐ - ๓๐ เมตร เรียกกันว่า ถ้ำโถง ใช้เป็นห้องเก็บโบราณวัตถุ และประติมากรรมจำนวนมาก

     ประติมากรรมเป็นองค์ประกอบสำคัญของทุกถ้ำ ส่วนมากเป็นพระพุทธรูป และพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร มีพุทธลักษณะแตกต่างกัน และงดงามตามยุคสมัยของการก่อสร้าง ซึ่งสืบต่อยาวนานนับพันปี

     พระพุทธรูปในสมัยราชวงศ์สุยและราชวงศ์ถัง มีขนาดใหญ่จำนวน ๗ - ๙ องค์ ภายในถ้ำเดียวกัน มีพระพุทธไสยาสน์ปางนิพพานขนาดหน้าตัก ๑๖ เมตร ประดิษฐานในถ้ำหมายเลข ๑๔๘ - ๑๕๘ และพระพุทธรูปขนาดหน้าตัก ๓๔.๕ เมตร ในถ้ำหมายเลข ๙๖ ซึ่งด้านหน้าเป็นหอคอย ๙ ชั้น ส่วนภาพวาดผนังถ้ำบรรยายเป็นเรื่องราวพระพุทธประวัติเป็นส่วนมาก ผนังถ้ำเป็นหินทรายชำรุดเสียหายง่าย จึงใช้ดินเหนียวปั้นรูปประติมากรรมระบายหลากสี นับเป็นเทคนิคพิเศษของชาวจีนสมัยก่อนราชวงศ์ถัง ที่ไม่ค่อยพบเห็นในท้องถิ่นอื่นๆ ถือกันว่าวิจิตรล้ำค่าหาดูได้ยาก

     เมื่อปี ค.ศ.๑๙๐๐ นักพรตลัทธิเต๋ารูปหนึ่ง พบถ้ำที่ถูกปิดผนึกไว้โดยบังเอิญ เป็นที่เก็บซ่อนพระคัมภีร์ทางศาสนา จดหมายเหตุ บันทึกทางประวัติศาสตร์ ตำราและหนังสือเกี่ยวกับศาสนา ประเพณี สังคม และการเมือง ตลอดจนภาพเขียนและโบราณวัตถุต่างๆ ซึ่งการค้นพบดังกล่าว ส่งให้ตุนหวง กลายเป็นแหล่งขุมทรัพย์ทางการศึกษาด้านวัฒนธรรมจีนโบราณ และแหล่งจาริกแสวงบุญไปในทันที แต่ขณะเดียวกันบรรดานักแสวงโชค และพวกล่าอาณานิคม ได้เข้าไปฉกฉวยสมบัติล้ำค่า ลักลอบขนย้ายออกนอกประเทศจีนไปเป็นจำนวนมาก คัมภีร์ทางศาสนาและประติมากรรมจำนวนมากตกไปอยู่ในพิพิธภัณฑ์ของอังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซีย สหรัฐอเมริกา เยอรมนี สวีเดน อินเดีย และนานาประเทศทั่วโลก

     จนถึงศตวรรษที่ ๑๙ รัฐบาลจีนในสมัย ดร.ซุนยัดเซ็น เริ่มสกัดกั้นการลักลอบขโมยมรดกของชาติ และเข้าไปดูแลอย่างจริงจัง พร้อมทั้งบูรณะถ้ำ จากการบูรณะถ้ำอย่างต่อเนื่อง ช่วยให้เจ้าหน้าที่พบถ้ำเพิ่มทางตอนเหนือของหอคอย ๙ ชั้น อีก ๒๔๘ ถ้ำ ภายในมีภาพวาดผนังถ้ำ และรูปแกะสลักต่างๆ สร้างขึ้น ระหว่างสมัยราชวงศ์ถังถึงราชวงศ์ซิง

     วัดถ้ำแห่งตุนหวง ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโก เมื่อปี ค.ศ. ๑๙๘๗ และได้รับการยกย่องเป็นแหล่งพุทธศิลป์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของจีนจนถึงปัจจุบัน



ข้อมูลและภาพ : wiki / หนังสือท่องโลก สถาปัตย์มหัศจรรย์ / flickr.com
เรียบเรียงโดย Travel MThai


++++++++++++++++++++++++++++


ฉันคือคนหนึ่งที่ชื่อปุ๋ย

วันอังคารที่ ๑๕ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๒





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น