วันพุธที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2562

เรียนรู้ภาษาไทยและภาษาจีนไปพร้อมกันกับปุ๋ย(๑๒) -- 教泰中文 By 周虹君(12)

 สวัสดีค่ะ ท่านผู้อ่านทุกท่าน 

วันนี้มาเรียนภาษาจีนกลางกันนะคะ

วันนี้ปุ๋ยขอเสนอคำว่า 'น้ำหอม' ค่ะ ซึ่งภาษาจีนกลางพูดว่า Xiāngshuǐ เซียงสุ่ย เขียนเป็นอักษรจีนได้ว่า “香水” โดยคำว่า แปลว่า หอม และคำว่า แปลว่า น้ำ เมื่อคำทั้งสองคำมารวมกัน จึงมีความหมายว่า  น้ำหอม  ค่ะ

ตัวอย่างประโยคนะคะ

“ฉันไปซื้อน้ำหอม”


ภาษาจีนเขียนได้ว่า

“我去買香水。”

เมื่อเขียนเป็นพินอินเขียนว่า

Wǒ qù mǎi xiāngshuǐ.

ออกเสียงว่า

หว่อ ชวี่ หม่าย เซียงสุ่ย









------------------------------------------------

ฉันคือคนหนึ่งที่ชื่อปุ๋ย

วันพุธที่ ๓๐ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๒


วันอังคารที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2562

บทความที่ได้รับการส่งต่อจากทางไลน์--ถอดความปริศนาธรรม

สวัสดีค่ะ ท่านผู้อ่านทุกท่าน





บทความนี้ปุ๋ยได้รับการแบ่งปันมาจากไลน์ค่ะ เมื่ออ่านแล้ว รู้สึกเป็นคติสอนใจได้อย่างดี จึงนำมาเสนอให้ทุกท่านได้อ่านค่ะ โดยบทความนี้เป็นปริศนาธรรมให้เราลองถอดความกันดูค่ะ


ถอดความปริศนาธรรม


๑.ทองแท่ง...จะไร้ค่า
๒.พระปฏิมา...เป็นกากปูน
๓.กลากเกลื้อน...จะเพิ่มพูน
๔.พระพิรุณ...จะซบเซา
๕.ผ้าเหลือง...จะโดนย่ำ
๖.ตะกวดดำ...จะเป็นเจ้า
๗.ดอกตูม...โรยแต่เช้า
๘.หมาหัวเน่า...ผึ้งจะตอม
๙.บุปผา...จะเป็นหมัน
๑๐.คืนและวัน...จะสั้นเข้า
๑๑.นกน้อย...จะลืมเหย้า
๑๒.โคถึกเฒ่า...จะวังเวง


..................................................





ถอดความออกมาได้ดังนี้ค่ะ


๑.ทองแท่ง..จะไร้ค่า
หมายถึง...พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าจะมีคนสนใจศึกษาน้อยลงเพราะมองไม่เห็นคุณค่า


๒.พระปฏิมา..เป็นกากปูน
หมายถึง...คนจะเริ่มเคารพพระพุทธเจ้าหรือพระพุทธรูปน้อยลงหรือเสื่อมศรัทธาในพุทธศาสนา


๓.กลากเกลื้อน..จะเพิ่มพูน
หมายถึง...ความชั่วร้ายและมิจฉาทิฏฐิจะเริ่มลุกลามแผ่ขยายมากขึ้น


๔.พระพิรุณ..จะซบเซา
หมายถึง...น้ำใจของผู้คนในสังคมจะเริ่มมีน้อยลงแต่ความเห็นแก่ตัวกลับมีมากขึ้น


๕.ผ้าเหลือง..จะโดนย่ำ
หมายถึง...คนจะไม่กลัวบาปเมามันกับการติเตียนดูหมิ่นดูแคลนพระสงฆ์


๖.ตะกวดดำ..จะเป็นเจ้า
หมายถึง...คนชั่วมีพวกพ้องบริวารมากจะได้เป็นใหญ่เรืองอำนาจ


๗.ดอกตูม..โรยแต่เช้า
หมายถึง...เด็กผู้หญิงจะมีผัวตั้งแต่อายุน้อยยังไม่โตเป็นสาว


๘.หมาหัวเน่า..ผึ้งจะตอม
หมายถึง...คนไม่ดีคนเนรคุณสังคมจะยกย่องว่าเก่งกล้า


๙.บุปผา..จะเป็นหมัน
หมายถึง...ความดีเหมือนเป็นหมันเพราะคนทำความดีสังคมจะไม่เห็นคุณค่าไม่ยกย่องแต่กลับยกย่องคนมีเงินมีอำนาจ


๑๐.คืนและวัน..จะสั้นเข้า
หมายถึง...คนจะยุ่งกับภารกิจหาเงินมาเลี้ยงตัวเองครอบครัวและเลี้ยงกิเลสจนลืมวันและเวลา

๑๑.นกน้อย..จะลืมเหย้า
หมายถึง...ลูกจะลืมพ่อแม่และบ้านเกิดเมืองนอนของตน


๑๒.โคถึกเฒ่า..จะวังเวง
หมายถึง...พ่อแม่จะถูกทอดทิ้งให้อยู่ลำพังขาดลูกหลานดูแล


ถ้าเราพิจารณาให้ดีจะพบว่าความเสื่อมเกิดขึ้นโดยลำดับตั้งแต่คนเสื่อมในพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าผลกระทบจึงตกอยู่กับสังคมในภาพรวมและที่สุดก็ตกอยู่กับบุคคลผู้ที่เสื่อมจากศีลธรรมเอง




++++++++++++++++++++++++++++


ฉันคือคนหนึ่งที่ชื่อปุ๋ย


วันอังคารที่ ๑๕ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๒


วัดถ้ำแห่งตุนหวง พุทธศิลป์สุดยิ่งใหญ่ท่ามกลางทะเลทรายของจีน

วัดถ้ำแห่งตุนหวง พุทธศิลป์สุดยิ่งใหญ่ กลางทะเลทรายของจีน


     สวัสดีค่ะ ท่านผู้อ่านทุกท่าน

     วัดทางศาสนาพุทธในประเทศไทยต่างก็มีสถาปัตยกรรมที่สวยงามค่ะ วัดทางศาสนาพุทธในประเทศจีนก็งดงามเช่นกันค่ะ เรามาชมภาพและอ่านเนื้อหากันค่ะ





  










     ตุนหวง (Dunhuang) เป็นเมืองโอเอซิสกลางทะเลทรายโกบี ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของมณฑลกานซู่ สาธารณรัฐประชาชนจีน แม้จะเป็นเมืองเล็กแต่มีบทบาทสำคัญยิ่ง ในฐานะเป็นแหล่งศาสนศิลป์ยิ่งใหญ่ที่สุดของจีน และมีสภาพสมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก

     ระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ ๕ นั้น ตุนหวงเป็นศูนย์กลางสำคัญบนเส้นทางไหม (Silk Road) เป็นทางผ่านและจุดแวะพักของขบวนคาราวานพ่อค้า และถนนไหมเป็นเส้นทางแห่งการเผยแพร่พุทธศาสนาจากอินเดียเข้ามายังประเทศจีน ตุนหวงจึงกลายเป็นศูนย์รวมเศรษฐกิจ และวัฒนธรรมหลายชนชาติ โดยเฉพาะจีน อินเดีย กรีก และอาหรับ หลอมรวมและช่วยกันสร้างวัดในถ้ำ ไว้เป็นที่สักการะบูชาพระพุทธเจ้า โดยปรากฏหลักฐานโบราณคดีอันล้ำค่ามีสภาพสมบูรณ์ในถ้ำแห่งนี้

     วัดถ้ำแห่งตุนหวง (Mogao Caves of Dunhuang) เป็นสิ่งก่อสร้างมหัศจรรย์บนหน้าผาของเขาหมิงซา กลางทะเลทรายโกบี ห่างจากตัวเมืองตุนหวง ไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ราว ๒๕ กิโลเมตร ผาหินถูกเจาะเป็นถ้ำจำนวนทั้งสิ้น ๔๙๒ แห่ง ภายในเป็นที่บรรจุพุทธประติมากรรม และภาพเขียนพุทธประวัติต่างๆ ในอดีตกาล และส่วนใหญ่ของถ้ำแห่งนี้ใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีทางศาสนาและการเมือง

     ในจำนวนถ้ำ ๔๙๒ แห่งนั้น โม่เกา (Mogao) เป็นถ้ำมีขนาดใหญ่ที่สุดและอายุเก่าแก่มาก รู้จักกันในชื่อ “ถ้ำพระพุทธรูปพันองค์” แกะสลักหน้าผาทางซีกตะวันออกของภูเขาหมิงซา รวมความยาว ๑,๖๐๐ เมตร ทุกตารางนิ้วของผนังถ้ำเต็มไปด้วยภาพวาดและรูปสลักทางศาสนา และถ้ำแห่งนี้มีภาพผนังกินเนื้อที่กว่า ๔๕,๐๐๐ ตารางเมตร นักโบราณคดีตะวันตกขนานนามภาพผนังแห่งนี้ว่า “ห้องสมุดบนผนัง”

     สิ่งก่อสร้างภายใน วัดถ้ำโม่เกา ทำจากไม้ในสมัยราชวงศ์ถังและราชวงศ์ซ่ง จำนวน ๕ หลัง คัมภีร์และหนังสือต่างๆ กว่า ๕๐,๐๐๐ ชิ้น และประติมากรรมเกือบ ๒,๕๐๐ ชิ้น ถ้ำโม่เกา ดำเนินการก่อสร้างนานนับพันปี ระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ ๔ เรื่อยมา จนถึงคริสต์ศตวรรษที่ ๑๔ ตั้งแต่ราชวงศ์ฉินถึงราชวงศ์หยวน รวม ๑๐ ราชวงศ์ โดยยุคทองอยู่ในช่วงกลางสมัยราชวงศ์ถัง

     ปราชญ์ท้องถิ่นตุนหวงระบุว่า หลวงจีนเหลอ ซุ่น (Lezun) เป็นผู้ริเริ่มก่อสร้างถ้ำเมื่อปี ค.ศ.๓๖๖ และมีโครงการสร้างพระพุทธรูป ๑,๐๐๐ องค์ประดิษฐ์ไว้ ใช้วิธีการระดมทุนก่อสร้างด้วยการบอกบุญพ่อค้าวาณิชที่เดินทางผ่านเส้นทางไหม บันทึกในสมัยราชวงศ์ถังยังระบุว่า ศิลปะที่ถ้ำผาโม่เกาส่วนใหญ่สร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์สุยและถัง ภาพวาดสมัยราชวงศ์ถังส่วนมากเป็นนางฟ้าล่องลอยในอากาศ ซึ่งถือเป็นเอกลักษณ์ของศิลปะถ้ำที่ตุนหวง ภาพเขียนสีภายในถ้ำ เป็นเรื่องราวของความดี-ความชั่ว และความสุขนิรันดร์ในสรวงสวรรค์ คล้ายกับว่าสวรรค์และโลกเป็นเอกภพเดียวกัน

     หอคอย ๙ ชั้น สร้างขึ้นหน้าถ้ำ เมื่อปี ค.ศ. ๖๙๕ ในสมัยจักรพรรดิอู๋เจ๋อเทียน แห่งราชวงศ์ถัง ใช้ปกป้องพระพุทธรูปองศ์ใหญ่ที่ประดิษฐานอยู่ภายใน เดิมทีหอคอยเป็นอาคาร ๔ ชั้น แต่เนื่องจากสภาพอากาศแห้งแล้งในทะเลทราย ตลอดจนภัยธรรมชาติแผ่นดินไหว ทำให้ห้องโถงพังทลายไป ต้องสร้างขึ้นมาใหม่หลายครั้งจนกลายเป็นหอคอย ๙ ชั้น ที่เห็นในปัจจุบัน ส่วนบริเวณชายคา สร้างขึ้นระหว่างปี ค.ศ. ๑๙๒๘ - ๑๙๓๕ เป็นของเก่าที่คงสภาพเดิมไว้ได้อย่างสมบูรณ์

     สถาปัตยกรรมของถ้ำโม่เกา ส่วนใหญ่มีบันทึกไว้ว่า ถ้ำยุคแรกๆ ก่อสร้างโดยมีเสาค้ำยันตรงกลางถ้ำ ลักษณะเป็นเสารูปทรงสี่เหลี่ยมคล้ายเจดีย์หนุนอยู่ตรงกลางของถ้ำ ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานแท่นบูชาพระพุทธรูปแกะสลักต่างๆ ต่อมาในยุคกลาง ขนาดของถ้ำใหญ่ขึ้น เปลี่ยนจากเสาค้ำยันมาเป็นหลังคาโค้งแบบพีระมิด มีแท่นบูชาใหญ่ชิดผนังถ้ำด้านหนึ่งสำหรับเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูป ภายใต้หลังคาโค้งออกแบบเพดานสำหรับเขียนภาพวาดสีสดใส ในยุคหลัง มีการขยายถ้ำใหญ่ขึ้น ความลึกประมาณ ๒๐ - ๓๐ เมตร เรียกกันว่า ถ้ำโถง ใช้เป็นห้องเก็บโบราณวัตถุ และประติมากรรมจำนวนมาก

     ประติมากรรมเป็นองค์ประกอบสำคัญของทุกถ้ำ ส่วนมากเป็นพระพุทธรูป และพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร มีพุทธลักษณะแตกต่างกัน และงดงามตามยุคสมัยของการก่อสร้าง ซึ่งสืบต่อยาวนานนับพันปี

     พระพุทธรูปในสมัยราชวงศ์สุยและราชวงศ์ถัง มีขนาดใหญ่จำนวน ๗ - ๙ องค์ ภายในถ้ำเดียวกัน มีพระพุทธไสยาสน์ปางนิพพานขนาดหน้าตัก ๑๖ เมตร ประดิษฐานในถ้ำหมายเลข ๑๔๘ - ๑๕๘ และพระพุทธรูปขนาดหน้าตัก ๓๔.๕ เมตร ในถ้ำหมายเลข ๙๖ ซึ่งด้านหน้าเป็นหอคอย ๙ ชั้น ส่วนภาพวาดผนังถ้ำบรรยายเป็นเรื่องราวพระพุทธประวัติเป็นส่วนมาก ผนังถ้ำเป็นหินทรายชำรุดเสียหายง่าย จึงใช้ดินเหนียวปั้นรูปประติมากรรมระบายหลากสี นับเป็นเทคนิคพิเศษของชาวจีนสมัยก่อนราชวงศ์ถัง ที่ไม่ค่อยพบเห็นในท้องถิ่นอื่นๆ ถือกันว่าวิจิตรล้ำค่าหาดูได้ยาก

     เมื่อปี ค.ศ.๑๙๐๐ นักพรตลัทธิเต๋ารูปหนึ่ง พบถ้ำที่ถูกปิดผนึกไว้โดยบังเอิญ เป็นที่เก็บซ่อนพระคัมภีร์ทางศาสนา จดหมายเหตุ บันทึกทางประวัติศาสตร์ ตำราและหนังสือเกี่ยวกับศาสนา ประเพณี สังคม และการเมือง ตลอดจนภาพเขียนและโบราณวัตถุต่างๆ ซึ่งการค้นพบดังกล่าว ส่งให้ตุนหวง กลายเป็นแหล่งขุมทรัพย์ทางการศึกษาด้านวัฒนธรรมจีนโบราณ และแหล่งจาริกแสวงบุญไปในทันที แต่ขณะเดียวกันบรรดานักแสวงโชค และพวกล่าอาณานิคม ได้เข้าไปฉกฉวยสมบัติล้ำค่า ลักลอบขนย้ายออกนอกประเทศจีนไปเป็นจำนวนมาก คัมภีร์ทางศาสนาและประติมากรรมจำนวนมากตกไปอยู่ในพิพิธภัณฑ์ของอังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซีย สหรัฐอเมริกา เยอรมนี สวีเดน อินเดีย และนานาประเทศทั่วโลก

     จนถึงศตวรรษที่ ๑๙ รัฐบาลจีนในสมัย ดร.ซุนยัดเซ็น เริ่มสกัดกั้นการลักลอบขโมยมรดกของชาติ และเข้าไปดูแลอย่างจริงจัง พร้อมทั้งบูรณะถ้ำ จากการบูรณะถ้ำอย่างต่อเนื่อง ช่วยให้เจ้าหน้าที่พบถ้ำเพิ่มทางตอนเหนือของหอคอย ๙ ชั้น อีก ๒๔๘ ถ้ำ ภายในมีภาพวาดผนังถ้ำ และรูปแกะสลักต่างๆ สร้างขึ้น ระหว่างสมัยราชวงศ์ถังถึงราชวงศ์ซิง

     วัดถ้ำแห่งตุนหวง ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโก เมื่อปี ค.ศ. ๑๙๘๗ และได้รับการยกย่องเป็นแหล่งพุทธศิลป์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของจีนจนถึงปัจจุบัน



ข้อมูลและภาพ : wiki / หนังสือท่องโลก สถาปัตย์มหัศจรรย์ / flickr.com
เรียบเรียงโดย Travel MThai


++++++++++++++++++++++++++++


ฉันคือคนหนึ่งที่ชื่อปุ๋ย

วันอังคารที่ ๑๕ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๒





May this be the supper bull Story ever heard from China?


สวัสดีค่ะ ท่านผู้อ่านทุกท่าน 

ข้อความด้านล่างนี้ เป็นข้อความที่ปุ๋ยอ่านพบจากไลน์ค่ะ ปุ๋ยรู้สึกว่าบทความนี้เป็นเรื่องราวส่วนหนึ่งในประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจ จึงได้นำมาแบ่งปันให้กับท่านผู้อ่านค่ะ 

///////////////////////////////////////////// 

Paisal Puechmongkol
๓๑ กรกฎาคม ๒๐๑๗
蒋介石临终遗言!
คำสั่งเสียของเจียงไคเช็ค
看完我惊呆了! 
เมื่ออ่านจบ ฉันถึงกับตะลึง 

จอมพลเจียงไคเช็ค
เครดิตภาพจาก https://th.wikipedia.org/wiki/เจียง_ไคเชก
ประธานาธิบดีเหมาเจ๋อตง
เครดิตภาพจาก http://krittayahongkhampa.blogspot.com/2013/09/mao-tse-tung_15.html


朝鲜战争结束后蒋介石仰天长叹,对儿子蒋经国及毛人凤等军事将领说:
หลังสงครามเกาหลีสิ้นสุดลง เจียงไคเช็คแหงนหน้ามองฟ้า แล้วพูดกับเจียงจิงกั๋ว บุตรชายและเหล่าผู้นำทหารอาทิเหมาเหรินฟ่งว่า

在这个世界上,没有人是毛泽东的对手,盟国(美国)说我蒋介石不行,可是他们又怎呢,我看他们西方国家也是一群蠢猪。
ในโลกนี้ ไม่มีใครต่อกรกับเหมาเจ๋อตงได้ พวกพันธมิตร (อเมริกา) หาว่าฉันเจียงไคเช็คไม่เอาไหน แต่พวกมันเป็นไงบ้างล่ะ ฉันว่าประเทศตะวันตกอย่างพวกมันก็เป็นหมูโง่ๆ ฝูงหนึ่ง

他们与中共毛泽东比,从哪方面都无法相比!
เอาพวกมันมาเทียบกับเหมาเจ๋อตง ไม่ว่าด้านไหน ก็เทียบไม่ติด

16个国家最精良的军队,竟然被毛泽东打的如此狼狈,耻辱啊!
ทหารที่เลิศที่สุดของ ๑๖ ประเทศ กลับถูกเหมาเจ๋อตงตีพ่ายไม่เป็นท่า อัปยศจริงๆ

毛泽东也是中国人的骄傲啊更是一名奇才。
เหมาเจ๋อตงเป็นความภาคภูมิใจของคนจีน และเป็นอัจฉริยะบุคคลที่หาตัวจับได้ยาก

中共有多少能者,我都不放在眼里,唯有毛泽东把我挤到这几个小岛上了。
จีนคอมมิวนิสต์มีคนเก่งเยอะแยะ ฉันไม่เคยหวั่น จะมีก็เหมาเจ๋อตงเท่านั้นที่เบียดขับฉันกระเด็นมาอยู่ที่เกาะเล็กๆ นี่

盟国不是毛泽东的对手毛泽东打仗是艺术!
พันธมิตรไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเหมา สงครามของเหมาเป็นศิลปะ

各方面的领导都是艺术!
การนำในด้านต่างๆ ก็เป็นศิลปะ

蒋介石突然把声音提高了八度,
พลันเสียงของเจียงก็ดังขึ้นเป็นแปดหลอด

是高超的艺术!
"เป็นศิลปะชั้นสูง"

他接着又说:
เขาพูดต่อไปว่า

我们要研究毛泽东!
"พวกเราต้องวิเคราะห์เจาะลึกเหมาเจ๋อตง
要学习毛泽东!
ต้องศึกษาจากเหมา"

这就是与毛泽东斗争了几十年的蒋介石对毛泽东的最后评价
นี่คือการประเมินค่าเหมาเจ๋อตงครั้งสุดท้ายของเจียงไคเช็คผู้ขับเคี่ยวกับเหมาเจ๋อตงมาหลายสิบปี

蒋介石说过:
เจียงไคเช็คเคยพูดว่า

毛先生才是伟人,我干了一辈子坏事,愧对国人,愧对毛先生。
เหมาถึงจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ตัวจริง ฉันทำเรื่องชั่วๆ มาชั่วชีวิต ฉันละอายต่อชาวจีน ละอายต่อเหมา

蒋介石人之将死,其言也善,他最后说:
เจียงไคเช็คในยามใกล้ตาย คำพูดคำจาล้วนดีมาก เขาพูดในตอนท้ายว่า

没有毛先生,中华就四分五裂了,我死后,请把我灵柩朝北京摆放我要向毛泽东请罪。
ถ้าไม่มีเหมา ประเทศจีนจะต้องแตกแยกเป็นหลายก๊กหลายเหล่า ฉันตายแล้ว โปรดตั้งโลงศพของฉันให้หันไปทางปักกิ่ง ฉันจะไปขอขมาต่อเหมาเจ๋อตง

毛泽东生前有很多的对手或者敌人,但是他没有一个私敌。
ในช่วงที่ยังมีชีวิตอยู่ เหมามีศัตรูเยอะมาก แต่ไม่มีศัตรูส่วนตัวแม้แต่คนเดียว

人们对毛泽东的深情怀念,是经过了时间的洗礼,证明无论他的思想、功德、人格、才智学识还是著作理论或对世界、中国、后人的影响,谁都无法与之相比!堪称生前辉万里 身后耀千古!
ความเคารพรักอันลึกซึ้งที่ผู้คนมีต่อท่านประธานเหมานั้น ผ่านพิธีล้างบาปของกาลเวลามานับครั้งไม่ถ้วน ยืนยันแล้วว่า ไม่ว่าความคิดของท่าน คุณธรรมของท่าน ความเป็นคนของท่าน ภูมิปัญญาของท่าน ความรู้ของท่าน ทฤษฏี งานเขียนของท่าน ล้วนมีอิทธิพลต่อโลก ต่อประเทศจีน ต่อชนรุ่นหลังในระดับที่ใครก็มิอาจเทียบชั้นได้ สมดังคำกล่าวที่ว่า ยามมีชีวิตอยู่ เกียรติคุณขจรขจาย ชีวิตหลังความตาย ทรงเกียรตินิจนิรันดร์

读到蒋介石对毛的评价时不禁落泪,毛公之伟大如太阳温暖人心,毛公之宽厚如大海容纳万物。
อ่านบทประเมินค่าเหมาของเจียงไคเช็คแล้ว น้ำตาก็ร่วง ความยิ่งใหญ่ของท่านเหมานั้นประหนึ่งดวงตะวันอันอบอุ่น ความใจกว้างของท่านเหมานั้นประหนึ่งดังมหาสมุทรที่รองรับสรรพสิ่งได้ไม่สิ้น

毛泽东可以把蒋家祖坟保护起来,这不是一般人的胸怀。
เหมาเจ๋อตงยอมปกปักษ์รักษาสุสานตระกูลเจียง นี่เป็นจิตใจที่คนทั่วไปยากทำใจ ขอถามหน่อยเถิดว่า มีกี่คนที่ทำได้เช่นนี้

胸怀坦荡, จิตใจกว้างขวาง

大公无私, เห็นแก่ส่วนรวม ไม่เห็นแก่ตัว

心念苍生,จิตใต้สำนึกมีเพียงโลกและเพื่อนมนุษย์

思虑中华,รักและห่วงใยประเทศจีน

深谋远虑,มีวิสัยทัศน์ลึกซึ้งและกว้างไกล

造福子孙。สร้างโลกแสนสุขส่งต่อลูกหลาน

毛泽东深深地爱着这片贫瘠的土地,
เหมาเจ๋อตงรักผืนแผ่นดินที่ยากไร้ผืนนี้อย่างลึกซึ้ง

毛泽东深情地爱着中华儿女,
เหมาเจ๋อตงรักลูกหลานชาวจีนอย่างสุดจิตสุดใจ

毛泽东深切地关切着世界一切受压迫人民。
เหมาเจ๋อตงเอาใจใส่ประชาชนผู้ถูกกดขี่ทั่วโลก

这样的大爱才是人类的真爱。
ความรักอันยิ่งใหญ่เช่นนี้ จึงเรียกได้ว่ารักแท้แห่งมนุษยชาติ

与小私小我小家小爱相比,
เมื่อเทียบกับความรักอันคับแคบของครอบครัวใครครอบครัวมันแล้ว

毛泽东的爱是刻骨铭心的爱,
ความรักของท่านเหมาถึงจะเรียกได้ว่ารักที่น่าตื่นตะลึง รักที่น่าจดจำ

毛泽东的情是天长地久的情,
ความรักของท่านเหมาเป็นความรักอันยืนยง

毛泽东的心是感化人性的永恒之心。
หัวใจของท่านเหมาเป็นหัวใจอมตะที่ปลุกหัวใจปลุกคนอยู่มิวาย

没有毛泽东世界不精彩.没有毛泽东人类失光辉
ไม่มีท่านเหมา โลกไม่งามเลิศ ไม่มีท่านเหมา มนุษยชาติไม่เรืองรอง

没有毛主席就没有新中国!!!
ไม่มีท่านประธานเหมา ก็ไม่มีประเทศจีนใหม่

我们要永远继承毛泽东的遗志,
ขอพวกเราจงช่วยกันสืบทอดอุดมการณ์ท่านเหมา

把他老人家的思想发扬光大,
ทำให้ความคิดของท่านเหมาได้รับการต่อยอดขจรขจาย

照耀中国及全世界!
ส่องสว่างเจิดจ้าทั้งจีนและทั่วโลก

毛泽东是中华民族引以自豪的英雄!!!........
เหมาเจ๋อตงคือวีรบุรุษที่ชนชาวจีนสุดภาคภูมิใจ

////////////////////////////////////////////////

โลกของเรามีวีรบุรุษนับไม่ถ้วน ทุกท่านล้วนแล้วแต่สร้างคุณูปการให้กับแผ่นดิน และยังมีข้อคิดที่สอนชนรุ่นลูกรุ่นหลานอีกมากมาย เราในฐานะที่เป็นคนรุ่นหลัง จึงควรนำอัตชีวประวัติของบุคคลเหล่านั้นมาศึกษา เพื่อเป็นตัวต่อให้เราเป็นบุคคลที่สร้างสรรค์ผลงานที่ดีเพื่อสังคมและแผ่นดิน แม้สิ่งที่เราทำอาจเป็นเพียงแค่เรื่องเล็กน้อยเมื่อเทียบกับบุคคลผู้กล้าหาญทั้งหลาย แต่บุคคลที่ยิ่งใหญ่ ก็ต้องผ่านการทำสิ่งเล็กๆน้อยๆมาก่อนค่ะ 

************************************

ฉันคือคนหนึ่งที่ชื่อปุ๋ย 

วันอังคารที่ ๑๕ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๒    




บทความดีๆที่ได้รับมาจากการส่งไลน์ -- ทำไมการเเกว่งเเขนจึงสำคัญนัก

"ทำไมการเเกว่งเเขนจึงสำคัญนัก" 

การเเกว่งเเขนเเบบตำราเเพทย์เเผนจีนที่ใช้กันมานับพันปีแล้ว การแกว่งแขนนั้น นอกจากจะช่วยลดพุงได้แล้ว ยังสามารถรักษาโรคต่างๆได้อีกด้วย


การแกว่งแขน
เครดิตภาพจาก http://www.liekr.com/post_159829.html




เมื่อเราแกว่งแขนครบ ๕ รอบให้ย่อเข่าลงหนึ่งครั้งตามภาพ เป็นการออกกำลังกายที่แพร่หลาย ปฏิบัติได้ง่าย เหมาะสำหรับผู้ป่วย หลักการง่ายๆของคัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็นก็คือ เปลี่ยนเส้นเอ็นที่อ่อนแอให้แข็งแรง ทำให้เส้นเอ็นที่ป่วยกลับมาดี

เหตุผลที่เราต้องแกว่งแขนเป็นการออกกำลังกายก็เพราะใต้หัวไหล่ของเราที่เรียกว่า รักเเร้ นั้นคือชุมทางของต่อมน้ำเหลือง บริเวณขาหนีบ ก็เป็นชุมทางของต่อมน้ำเหลืองขนาดใหญ่ การขยับหัวไหล่เเละรักเเร้ ด้วยการเเกว่งเเขนหรือการว่ายน้ำนั้น ทำให้ได้ขยับทั้งหัวไหล่เเละขาหนีบ ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นการออกกำลังให้ต่อมน้ำเหลืองขยับเพิ่มการไหลเวียนน้ำเหลือง

จากงานเขียนของ Dr. Kimberly Kaye Castaneda ทำให้เราทราบว่า คำว่า "ระบบน้ำเหลือง" หมายรวมถึง ม้าม ต่อมทอนซิล ต่อมไธมัส ต่อมน้ำเหลืองต่างๆ น้ำเหลือง ท่อน้ำเหลือง นับเป็นระบบที่ร่างกายสร้างขึ้นมาเพื่อทำความสะอาด ชำระล้างของร่างกาย จำเป็นต่อ การรักษาสุขภาพให้เเข็งเเรง เยียวยาความเจ็บป่วย เพราะระบบน้ำเหลืองมีหน้าที่ขนถ่ายของเสีย พิษที่สะสมในร่างกาย เศษของเซลล์ที่ตายเเล้วให้กำจัดยังอวัยวะที่รับผิดชอบเเละขับออกไปจากร่างกาย นอกจากนี้ยังมีหน้าที่สร้างเม็ดเลือดขาว เเอนตี้บอดี้ของระบบภูมิคุ้มกัน ตลอดระยะทางของท่อน้ำเหลืองจะมีต่อมน้ำเหลืองอยู่เป็นระยะๆเพื่อช่วยกรองสารเเปลกปลอม เชื้อโรค ที่มีอันตราย

ตับ เป็นอวัยวะที่ทำงานควบคู่ไปกับระบบน้ำเหลือง โดยตับมีหน้าที่สร้างน้ำเหลืองเป็นส่วนมาก เเละตับก็อาศัยน้ำเหลืองนี่เองขนส่งสารอาหารที่ย่อยเเล้วจากตับเเละลำไส้เล็กไปส่งต่อให้กับเซลล์เเละอวัยวะต่างๆ

ม้าม เป็นอวัยวะขนาดใหญ่ที่สุดของระบบน้ำเหลือง มีหน้าที่กรอง เเละกำจัดเซลล์เม็ดเลือดเเดงที่หมดอายุ เเละเป็นอวัยวะที่มีบทบาทสำคัญของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย

ท่านใดที่ผ่าตัดเอาม้าม ต่อมทอนซิล ต่อมไธมัสออกไป จะติดเชื้อได้ง่าย ขาดภูมิต้านทาน หากการไหลเวียนของน้ำเหลืองติดขัด จะทำให้ต่อมน้ำเหลืองบวม อักเสบ บริเวณที่น้ำเหลืองไหลเวียนเเละสังเกตได้ชัดเจน ได้เเก่ ลำคอ หลังใบหู ท้ายทอย หน้าอก รักเเร้ใต้หัวไหล่ ท้องเเขน หน้าท้องกึ่งกลางระหว่างหน้าอกกับสะดือ บริเวณขาหนีบ เนื่องจากน้ำเหลืองไม่มีปั๊มเหมือนระบบเลือดที่มีหัวใจเป็นปั๊ม ดังนั้นการกระตุ้นให้น้ำเหลืองไหลเวียนดีขึ้น จึงต้องพึ่งพิงการออกกำลังกายเเละการหายใจให้ลึกๆเป็นหลัก เพื่อเขย่ากระตุ้นการไหลเวียนน้ำเหลืองด้วยการขยับกล้ามเนื้อ เเละกระบังลม การเต้นกระโดดบน trampoline ดูจะเป็นวิธีการที่กระตุ้นน้ำเหลืองได้ทั่วร่างกาย หากเต้นไม่ได้ก็อาจใช้วิธี กัวช่า (Gua Sha) การนวดด้วยน้ำมัน การนวดเเผนไทย

ท่านใดที่มักมีอาการ ผิวซีด ซูบซีด หลงๆลืมๆ ติดเชื้อบ่อยๆ เป็นหวัดเจ็บคอเสมอๆ เริ่มมีเซลลูไลท์เพิ่มมากขึ้น ให้สงสัยระบบน้ำเหลืองติดขัด ไหลเวียนไม่ดี เพราะของเสีย ขยะมีพิษ ตกค้างสะสม อย่าละเลยอาการน้ำเหลืองติดขัดโดยไม่ได้รักษา เพราะนานวันเข้า อาจส่งผลให้เป็นมะเร็งในต่อมน้ำเหลือง

ดังนั้นเราจึงควรพยายามแกว่งแขนทุกวัน วันละ ๑๐ นาที หรือถ้ามีเวลามากพอ ก็อาจจะเพิ่มเวลาเป็น ๓๐ นาที จะสามารถช่วยรักษาโรคต่างๆหายได้อย่างไม่น่าเชื่อเป็นร้อยชนิด โดยที่เราไม่ต้องหาหมอ และไม่ต้องรับประทานยาอีกด้วย






ปุ๋ยคิดว่า ปุ๋ยจะแกว่งแขนให้มากขึ้น เพื่อสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงขึ้นของตัวปุ๋ยเองค่ะ



++++++++++++++++++++++++++++++++++



ฉันคือคนหนึ่งที่ชื่อปุ๋ย


วันอังคารที่ ๑๕ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๒














บทความดีๆที่ได้รับจากการส่งต่อมาทางไลน์ -- “จดหมายสุดขั้วสองฉบับ”

     สวัสดีค่ะ ท่านผู้อ่านทุกท่าน 

     วันนี้ปุ๋ยขอนำเสนอบทความที่ได้รับจากการส่งต่อมาทางไลน์ให้ท่านผู้อ่านได้อ่านกันนะคะ เนื้อหาประทับใจทีเดียวค่ะ หัวข้อของบทความคือ “จดหมายสุดขั้วสองฉบับ” เมื่อท่านได้อ่านแล้ว เราจะเห็นความแตกต่างระหว่างคนทั้งสองที่เขียนจดหมายถึงพ่อแม่ของเขาอย่างชัดเจน และจะทำให้เราได้ตระหนักถึงวิธีการอบรมเลี้ยงดูลูก เพื่อให้ลูกของเราได้เป็นบุคคลที่มีศักยภาพและคุณภาพต่อสังคม 

***************************

     “จดหมายจากนักโทษประหารถึงพ่อแม่”

     คุณพ่อ คุณแม่ครับ
     พรุ่งนี้แล้วที่ผมจะต้องถูกประหาร ผมไม่ทราบว่าเส้นทางชีวิตของผมเดินมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร ตอนนี้ภาพในอดีตค่อยๆฉายออกมาทีละภาพผ่านสมองของผม
     ตอนที่ผมอายุ ๓ ขวบ ผมจำได้รางๆว่า ผมวิ่งเร็วเกินไปจนสะดุดก้อนหินหกล้ม พ่อรีบอุ้มผมขึ้นมาปลอบ แล้วพ่อใช้ขาเตะก้อนหินสองที และพ่อก็พูดกับผมว่า "ไม่ต้องร้องไห้  ก้อนหินก้อนนี้แย่จริงๆพ่อลงโทษให้แล้ว" ตอนแรกผมก็ตั้งใจจะกลั้นน้ำตาไม่ยอมร้องไห้ แต่พอเห็นเหตุการณ์กลายเป็นเช่นนั้น ผมก็เลยกอดพ่อแน่นร้องไห้อยู่นาน เพราะพ่อทำให้ผมเข้าใจว่า การที่ผมหกล้ม ไม่ใช่เพราะผมไม่ระวัง แต่เป็นความผิดของก้อนหิน แต่ผมไม่รู้ว่า มันแค่เป็นการปลอบใจจากพ่อเพื่อไม่ให้ผมร้องไห้
     ตอนที่ผมอายุ ๔ ขวบ ผมเอาแต่นั่งเฝ้าดูทีวีจนไม่ยอมกินข้าว แม่ยกชามข้าวมาป้อนให้ผมทีละคำถึงหน้าจอทีวี แม่ทำให้ผมเข้าใจว่า  ชีวิตสามารถเสพสุขได้ด้วยวิธีนี้ แต่ผมไม่รู้ว่า  แม่แค่กลัวว่าผมจะหิว เดี๋ยวก็ต้องมาวุ่นวายหาข้าวให้ผมกินทีหลัง
     ตอนที่ผมอายุ ๖ ขวบ พ่อพาผมไปซื้อของขวัญคริสต์มาส ตกลงกันว่าจะให้ผมซื้อได้หนึ่งอย่าง แต่พอผมได้ตุ๊กตาอุลตร้าแมนแล้ว  ผมยังอยากได้เครื่องร่อนอีก พอพ่อไม่ยอมให้  ผมก็ลงไปนอนกองกับพื้นร้องไห้ไม่ยอมหยุด
สุดท้ายพ่อก็ต้องซื้อให้ผมทั้งสองอย่าง พ่อทำให้ผมเข้าใจว่า  การใช้วิธีนี้จะทำให้ผมได้ในสิ่งที่อยากได้ แต่ผมไม่รู้ว่า พ่อแค่กลัวว่าการกระทำของผมจะทำให้พ่อขายขี้หน้าต่อหน้าคนอื่น
     ตอนที่ผมอายุ ๘ ขวบ ผมคิดอยากจะซักถุงเท้าของผม  แต่แม่กลัวว่าผมจะซักไม่สะอาด ผมอยากช่วยล้างจาน  แม่กลัวผมจะทำจานแตก ผมอยากเทน้ำร้อนให้ตัวเอง  แต่แม่กลัวผมโดนน้ำร้อนลวก แม่ทำให้ผมเข้าใจว่า  ผมไม่สามารถทำงานยากๆหรืองานที่ดูเหมือนมีอันตราย แต่ผมไม่รู้ว่า แม่แค่ไม่อยากเสียเวลามานั่งแก้ไขงานให้ผม
     ตอนที่ผมอายุ ๑๐ ขวบ พ่อพาผมไปสมัครเรียนพิเศษสามแห่ง  และเรียนกิจกรรมพิเศษอีกสองแห่ง ทุกๆวันผมจะกลับถึงบ้านด้วยความอ่อนล้า พ่อบอกผมว่า  คนเราต้องอดทน  จะได้เป็นเจ้าคนนายคน พ่อทำให้ผมเข้าใจว่า  การศึกษาเป็นเรื่องที่หนักหนาสาหัส  และน่าเบื่อมาก แต่ผมไม่รู้ว่า พ่อแค่อยากให้ผมดูโดดเด่นต่อหน้าญาติมิตร
     ตอนที่ผมอายุ ๑๓ ปี ผมเตะบอลไปทำกระจกหน้าต่างข้างบ้านแตก พ่อพาผมไปกล่าวคำขอโทษแล้วจ่ายค่าเสียหายไป พ่อทำให้ผมเข้าใจว่า  แค่กล่าวคำว่า "ขอโทษ"แล้วทุกอย่างก็จบสิ้นได้แบบง่ายดาย แต่ผมไม่รู้ว่า พ่อบ่นว่าเพื่อนบ้านถือโอกาสเรียกค่าเสียหายมากเกินไป
     ตอนที่ผมอายุ ๑๕ ปี ผมอยากเรียนเปียโนเหมือนเพื่อนๆ แม่ไปขอยืมเงินญาติๆแล้วซื้อเปียโนให้ผมหลังหนึ่ง แต่ผมเล่นได้แค่เดือนสองเดือนก็เบื่อแล้ว ไม่ยอมเล่นต่อ แม่ทำให้ผมเข้าใจว่า  แม้ที่บ้านมีเงินไม่มาก  แต่ก็สามารถใช้จ่ายได้อย่างสุรุ่ยสุร่าย แต่ผมไม่รู้ว่า ที่บ้านต้องใช้เวลาสามปีกว่าจะจ่ายหนี้ก้อนนั้นจนหมด
     ตอนที่ผมอายุ ๑๙ ปี ผมกำลังจะสอบเอนทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัย พ่อบอกว่าเป็นทนายความจะช่วยให้ฐานะทางสังคมสูงขึ้น พ่อทำให้ผมเข้าใจว่า ผมแค่ทำตามเส้นทางที่พ่อวาดหวังไว้ก็พอ แต่ผมไม่รู้ว่านั่นเป็นเพราะ พ่ออยากเติมเต็มความฝันให้ตนเอง เนื่องจากตอนที่พ่อเป็นหนุ่ม พ่อสอบไม่ติด
     ตอนที่ผมอายุ ๒๐ ปี ผมบอกแม่ว่าอยากได้มือถือรุ่นใหม่ล่าสุด ผมอ้างว่าจะได้โทรกลับบ้านบ่อยๆ แม่ส่งเงินมาให้ผมสามหมื่นบาททันที
แต่ผมโทรกลับบ้านปีละไม่กี่หน แทบทุกครั้งจะเป็นการขอเงินเพิ่ม แม่ทำให้ผมเข้าใจว่า พ่อแม่เป็นตู้กดเงินชั้นเยี่ยมของผม แต่ผมไม่รู้ว่า  พ่อแม่ได้แต่เฝ้ารอโทรศัพท์จากผมด้วยความคิดถึง
     ตอนที่ผมอายุ ๒๔ ปี พอเรียนจบ พ่อก็ช่วยฝากงานให้ผมได้ทำงานในบริษัทใหญ่โต พ่อทำให้ผมเข้าใจว่า ไม่ต้องตั้งใจเรียนหนังสือให้ดีก็สามารถหางานดีๆทำได้ แต่ผมไม่รู้ว่า พ่อต้องอาศัยเส้นสายขนาดไหนกว่าจะฝากผมเข้าทำงานได้
     ตอนที่ผมอายุ ๒๗ ปี ผมเปลี่ยนแฟนเป็นว่าเล่น พวกสาวๆมักบ่นว่าผมเป็นคนที่ไม่มีความรับผิดชอบ แม่บอกผมว่าพวกเขาไม่คู่ควรกับผม แม่ทำให้ผมเข้าใจว่า ผมเป็นผู้ชายที่มีคุณสมบัติเลอเลิศ แต่ผมไม่รู้ว่า ผมเป็นแค่ผู้ชายเส็งเคร็งที่หาความดีแทบไม่ได้
     ตอนที่ผมอายุ ๓๒ ปี ผมเป็นหนี้พนันบอลเป็นล้าน พ่อโกรธจนล้มป่วย  แต่สุดท้ายก็ช่วยผมเคลียร์หนี้จนหมด พ่อทำให้ผมเข้าใจว่า ไม่ว่าผมจะทำอะไรผิด พ่อจะคอยช่วยแก้ปัญหาให้ผมได้เสมอ แต่ผมไม่รู้ว่านั่นเป็น เงินก้อนสุดท้ายที่พ่อแม่เตรียมไว้ใช้ในยามแก่
     ตอนที่ผมอายุ ๓๕ ปี พ่อแม่ช่วยอะไรผมไม่ได้อีกแล้ว ผมกับเพื่อนเข้าไปปล้นร้านค้า แล้วผมไปยิงเจ้าของร้านตายคาที่ ศาลตัดสินประหารชีวิตผม พ่อแม่ตะโกนด่าว่าช่างไม่ยุติธรรมต่อครอบครัวเราเลย ท่านลำบากมาทั้งชีวิต  แต่ต้องได้รับผลกรรมที่ไร้ความปราณี ในที่สุดผมเริ่มเข้าใจแล้วว่า เพราะท่านใช้ "ความรัก" ฉกชิงโอกาสที่ผมจะเติบโตเป็นผู้เป็นคนครั้งแล้วครั้งเล่า ฉกชิงเอาความสามารถในการอยู่รอดด้วยตัวผมเองครั้งแล้วครั้งเล่า ฉกชิงเอาความรับผิดชอบในตัวของผมเองครั้งแล้วครั้งเล่า วิธีการรักลูกแบบผิดๆ สุดท้ายแลกมาซึ่งความเจ็บปวดของเราทั้งสองรุ่น ไม่มีโอกาสให้แก้ตัวอีกแล้วจากการสอนสั่งที่ผิดๆ มันเป็นมือของพ่อแม่ผมเองที่ส่งผมขึ้นไปยังแท่นประหารอย่างไม่ได้ตั้งใจ 
     พ่อครับ แม่ครับ กรุณาดูแลตัวเองให้ดี ผมคงต้องขอลาจากท่านแล้วในวันพรุ่งนี้ หวังว่าในภพหน้าของผม ผมจะได้เรียนรู้วิธีการรับผิดชอบในตัวผมเอง สำหรับชาตินี้ ผมไม่แน่ใจว่าผมควรจะโกรธท่านหรือรักท่านกันแน่ อย่างไรก็ตาม ลูกต้องกราบขออโหสิกรรมที่ได้ก่อกรรมทำเข็ญให้ท่านต้องเสียใจกับลูกคนนี้มาตลอดชีวิต
     จากลูกทรพีที่กำลังจะจากท่านไป

***************************

     “จดหมายจากลูกที่เป็นประธานบริษัท”

     คุณพ่อ คุณแม่ครับ
     พรุ่งนี้คือวันที่รอคอยที่จะได้เห็นโรงงานของผมเริ่มต้นสายการผลิตอย่างเป็นทางการเป็นวันแรก ผมสามารถก้าวมาถึงจุดนี้ได้ ต้องขอขอบพระคุณท่านทั้งสองที่ได้สอนให้ผมรู้จักดูแลรับผิดชอบตัวเองมาตลอด  ด้วยใจที่เปี่ยมสุขในขณะนี้ ภาพต่างๆในอดีตได้ค่อยๆปรากฏขึ้นทีละภาพภายในใจของผมอย่างซาบซึ้ง
     ตอนที่ผมอายุ ๓ ขวบ  ผมจำได้รางๆว่าผมวิ่งเล่นอย่างไม่ระมัดระวังจนไปสะดุดก้อนหินหกล้ม  ท่านให้ผมลุกขึ้นเอง  แล้วยังฟาดก้นผมไปสองที บอกผมว่า  "ถ้าไม่ระวัง หกล้มคราวหน้า จะโดนฟาดก้นสี่ที"  ท่านสอนให้ผมรู้จักรับผิดชอบ "ความระมัดระวัง" ของตนเอง
     ตอนที่ผมอายุ ๔ ขวบ  ผมเอาแต่ดูทีวีไม่ยอมกินข้าว ท่านบอกว่าถ้าไม่กินก็ต้องอดข้าวถึงพรุ่งนี้เช้า ผมนึกว่าท่านขู่เล่น สุดท้ายผมหาของกินทั่วห้องครัว  ไม่มีอะไรเหลือให้ผมกินเลยแม้แต่ขนมปังสักชิ้น ท่านสอนให้ผมรู้จักรับผิดชอบในความ "เอาแต่ใจ" ของตนเอง
     ตอนที่ผมอายุ ๖ ขวบ พ่อพาผมไปร้านขายของเล่นเพื่อซื้อของขวัญคริสต์มาส  ตกลงกันว่าจะให้ผมแค่หนึ่งชิ้น  แต่พอผมได้หุ่นยนต์มนุษย์เหล็กแล้ว  ยังจะเอาเครื่องร่อนอีกชิ้น  พอไม่ให้ผมก็งอแงนอนดิ้นร้องไห้อยู่กับพื้น  ท่านไม่สนใจผม หันหลังแล้วเดินออกจากร้านไปเลย  สุดท้ายผมต้องหยุดร้อง  แล้วรีบเดินตามกลับบ้าน ท่านสอนให้ผมรู้จักรับผิดชอบเกี่ยวกับ "ความไม่เข้าท่า" ของตนเอง
     ตอนที่ผมอายุ ๘ ขวบ ผมหัดซักถุงเท้า แม่สอนวิธีการซักล้างให้สะอาด ผมหัดล้างจาน แม่สอนผมรู้วิธีการล้างที่ถูกต้อง  เพื่อให้สะอาดและจานไม่แตก ผมอยากเทน้ำร้อนด้วยตัวเอง ท่านสอนให้รู้จักวิธีการเทที่ไม่ให้น้ำร้อนลวกมือ ท่านสอนให้ผมรู้จักรับผิดชอบเกี่ยวกับ "การดูแลชีวิต" ของตนเอง
     ตอนที่ผมอายุ ๑๐ ขวบ ผมเห็นเพื่อนๆมีโอกาสไปเรียนกิจกรรมนอกหลักสูตร เรียนยูโด  เรียนศิลปะ  เรียนสารพัดอย่าง  ท่านบอกผมว่า เวลาเรียนหนังสือในโรงเรียนให้ตั้งใจเรียน เวลาเลิกเรียนก็เป็นเวลาเล่นพักผ่อนให้เต็มที่ หากยังมีเวลาว่างก็หาหนังสือมาอ่าน  ท่านสอนให้ผมรู้จักรับผิดชอบเกี่ยวกับ "การจัดสรรเวลา" ของตนเอง
     ตอนที่ผมอายุ ๑๓ ปี ผมเตะฟุตบอลไปทำกระจกหน้าต่างข้างบ้านแตก ท่านพาผมไปวัดและไปซื้อกระจกด้วยกัน แล้วพาผมไปช่วยกันเปลี่ยนกระจกหน้าต่างให้ข้างบ้านจนเสร็จเรียบร้อย ค่าใช้จ่ายทั้งหมดค่อยๆหักจากค่าขนมของผม ท่านสอนให้ผมรู้จักรับผิดชอบเกี่ยวกับ "ความผิดพลาด" ของตนเอง
     ตอนที่อายุ ๑๕ ปี ผมอยากเรียนเปียโนเหมือนเพื่อนๆ ท่านพาผมไปซื้อหีบเพลง ท่านบอกผมว่าเป่าหีบเพลงให้เก่งก่อน แล้วค่อยตัดสินใจไปเรียนเปียโน ผมก็เลยเป่าหีบเพลงจนกระทั่งทุกวันนี้ และไม่เคยคิดจะไปหัดเล่นเปียโนอีกเลย ท่านสอนให้ผมรู้จักรับผิดชอบเกี่ยวกับ "ความยืนหยัด"  ของตนเอง
     ตอนที่ผมอายุ ๑๙ ปี ผมกำลังจะสอบเอนทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัย ท่านช่วยให้คำแนะนำและวิเคราะห์เกี่ยวกับคณะต่างๆในมหาวิทยาลัย ให้ผมถามใจตัวเองว่า อยากเรียนอะไรแล้วจงตัดสินใจด้วยตัวผมเอง  ท่านสอนให้ผมรู้จักรับผิดชอบเกี่ยวกับ "อนาคต" ของตนเอง
     ตอนที่ผมอายุ ๒๐ ปี ผมอยากเปลี่ยนมือถือ  ท่านบอกว่าของเก่ายังไม่เสียอย่าเพิ่งเปลี่ยน ไม่เช่นนั้นก็ไปหางานพิเศษทำเพื่อซื้อเอง ผมไปรับจ้างสอนพิเศษเก็บเงินจนซื้อมือถือเครื่องใหม่ได้ แต่ความสำเร็จครั้งนี้ทำให้ผมภูมิใจยิ่งกว่าที่ได้มือถือเครื่องใหม่ ท่านสอนให้ผมรู้จักรับผิดชอบเกี่ยวกับ "ความอยาก" ของตน
     ตอนที่ผมอายุ ๒๔ ปี ผมเรียนจบและอยากสร้างธุรกิจของตนเอง พ่อแม่ท่านบอกผมว่าอย่าใจร้อน หางานพื้นฐานฝึกให้ตนมีประสบการณ์ก่อน สองปีถัดมา ผมตัดสินใจเปิดบริษัทของตนเอง ท่านบอกผมว่าหากสามารถรับได้กับความล้มเหลวก็ไปเปิดได้  ท่านให้ทุนผมมาหนึ่งแสนเหรียญ ให้ผมคืนท่านภายใน ๔ ปี ผมรับปากว่าผมจะต้องคืนแน่นอน พร้อมจะแถมบ้านใหม่ให้อีกหนึ่งหลัง  ท่านสอนให้ผมรู้จักรับผิดชอบเกี่ยวกับ "ความสำเร็จ" ของตนเอง
     ตอนที่ผมอายุ ๒๗ ปี ผมพาเพื่อนสาวมาแนะนำให้รู้จัก ท่านชมผมเสียเลอเลิศต่อหน้าแฟนผม ท่านบอกผมตอนหลังว่า ต้องแสดงออกถึงคุณสมบัติที่ดีเยี่ยมของเราเพื่อจะดึงดูดคู่ครองที่มีคุณสมบัติโดดเด่นให้สนใจเรา  แล้วท่านยังบอกผมว่า  เรื่องความรักหรือคู่ครองให้ผมตัดสินใจเอง  ขอให้รักกันจริงก็เดินหน้าต่อไปได้เลย ท่านสอนให้ผมรู้จักรับผิดชอบเกี่ยวกับ "ความสุข" ของตนเอง
      ตอนที่ผมอายุ ๓๒ ปี ผมมอบกุญแจบ้านหลังใหม่ให้พ่อแม่ พอท่านรับกุญแจจากผมแล้วก็หันหลังให้ผม ผมสังเกตเห็นว่าไหล่ท่านกำลังสั่น ผมรู้ว่าท่านกำลังหลั่งน้ำตาแห่งความปลื้มปิติ ท่านสอนให้ผมรู้จักรับผิดชอบเกี่ยวกับ "คำมั่นสัญญา" ของตนเอง
     ตอนที่ผมอายุ ๓๕ ปี โรงงานของผมพร้อมจะเปิดแล้ว ญาติๆที่เคยกล่าวหาว่าท่านใจร้าย  ใจจืดใจดำกับผมมาตลอดต้องปิดปากเงียบกันทุกคน ผมรู้ซึ้งว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา  ท่านใส่ใจผมทุกขั้นตอน และผมจะใช้วิธีเดียวกันนี้สอนลูกผมให้รู้จักรับผิดชอบ "ตัวเอง" ให้จงได้ ผมแน่ใจว่าลูกๆต้องดีเด่นกว่าผมแน่นอน
     ขอบคุณทั้งคุณพ่อและคุณแม่ ผมไม่มีวันลืมความใส่ใจในทุกสิ่งทุกอย่างจากท่านทั้งสอง ไม่เช่นนั้นผมจะไม่มีวันที่มาถึงจุดนี้ได้แน่นอน ลูกคนนี้จะไม่มีวันทำให้ท่านผิดหวัง
     จากลูกที่รักพ่อรักแม่สุดหัวใจ
          
**************************

     "ใจอ่อนกับลูกคือการทำร้าย ใจแข็งกับลูกคือความรัก หากคิดแต่จะรักลูกแบบไม่ลืมหูลืมตา พึงระวังต้องตามเยียวยาให้ลูกไม่จบไม่สิ้น" คติพจน์สอนลูกของชาวยิว

     "ขจรศักดิ์" แปลและเรียบเรียง


+++++++++++++++++++++

     ฉันคือคนหนึ่งที่ชื่อปุ๋ย

     วันอังคารที่ ๑๕ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๒