วันพฤหัสบดีที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2563

บทความที่ได้รับการส่งต่อมาจากไลน์ เรื่อง บทความดีๆ Covid-๑๙ ที่สอนใจ



สวัสดีค่ะ ท่านผู้อ่านทุกท่าน 

จากวิกฤตโควิด-๑๙ ที่เกิดขึ้นทั่วโลก ทำให้เราได้รับบทเรียนสอนใจจากเรื่องนี้มากมาย ซึ่งมีผู้สรุปไว้ดังนี้  

๑. เมื่อมี "เงิน" อย่าใช้ให้หมด เราต้องหมั่น "เก็บเงิน" ไว้ใช้ในยามจำเป็นด้วย เพราะเวลาที่เกิดวิกฤต คนที่พอมีเงินอยู่บ้าง กับคนที่ไม่มีเงินเลย จะเกิดความทุกข์ที่แตกต่างกันมากมาย

๒. เมื่อมี "งาน" เราก็ต้องรักงาน ต้องขยัน ต้องเต็มที่ เพราะต่อจากนี้ไม่มีอะไรการันตีความมั่นคงอีกแล้ว ต้องเป็นพนักงานที่องค์กรเห็นว่าทำงานให้เขาได้ "คุ้มค่า" เขาจึงจะจ้างไว้ต่อ

๓. เมื่อมี "คนที่รัก" ไม่ว่าจะเป็นคนในครอบครัว ญาติ คู่รัก หรือเพื่อนรัก เราต้องสร้าง "ความสัมพันธ์" กันให้ดี หนักนิดเบาหน่อยก็อภัยให้กัน แสดงความรักที่มีต่อกันออกมาตั้งแต่วันนี้ เพราะการลาจากโดยไม่ได้ร่ำลา ช่างเป็นเรื่องที่น่าเศร้ายิ่งนัก

๔. เมื่อมี "เวลา" ต้องใช้ให้ดี อย่าปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์ เพราะจากที่เราเคยคิดกันว่าทุกคนมีเวลาอย่างน้อย ๗๐ ถึง ๘๐ ปี แต่นับต่อจากนี้ไป ชีวิตของคนเราคงจะไม่แน่เช่นนั้นอีกแล้ว

๕. เมื่อมี "ร่างกาย" ต้องดูแลรักษาให้ดีที่สุด อย่าได้กล่าวว่าไม่มีเวลา เพราะร่างกายที่แข็งแรงจะเป็น "ภูมิต้านทาน" ต่อโรคต่าง ๆ การมีชีวิตอยู่ภายใต้ร่างกายที่แข็งแรง จะทำให้เรามีคุณภาพชีวิตที่ดี

๖. เมื่อมี "จิตใจ" ต้องทำให้ "สดชื่น" ไม่เป็นทุกข์ และไม่ต้องกังวลกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ไม่ต้องไปให้ความสำคัญกับคนไม่ดี และมีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน โดยไม่จมอยู่กับอดีต หรือกังวลกับอนาคตที่ยังมาไม่ถึง

๗. เมื่อมี "ชีวิต" ต้องใช้ชีวิตให้คุ้มค่า ต่อไปไม่มีใครรู้ว่า เรามีเวลาของชีวิตแค่ไหน ขอให้ "รู้สึกดีกับชีวิต" ใช้ชีวิตในแบบที่เป็นตัวเราเอง รักตัวเอง ศรัทธาในตัวเอง ภูมิใจในทุกๆ ด้านของชีวิตเราเอง

มีหลายคนกล่าวว่า เมื่อไหร่ COVID-๑๙ จะจบ ไปเสียที จะได้กลับไปใช้ชีวิต "เหมือนเดิม" ได้ไปเที่ยว ได้ไปกิน ได้ไปสังสรรค์ ถ้าเป็นแบบนี้ นั่นหมายถึงว่า เราอาจจะไม่ได้ "เรียนรู้" จากเหตุการณ์ใหญ่ครั้งนี้เลย หาก COVID-๑๙ ผ่านไป ขอให้ทุกคนตั้งมั่นว่า เราจะไม่ใช้ชีวิต "เหมือนเดิม" อีก เพราะเราจะต้องใช้ชีวิตให้ "ดีขึ้น" ใช้ชีวิตอย่างมี "คุณค่า" มากขึ้น โดยการมีความสุขในรูปแบบที่เรียบง่าย เป็นความสุขจาก "สิ่งที่เรามี" ในชีวิต ทำดีที่สุดกับ "คนที่เรารักและรักเรา" นอกจากนี้ ยังต้องเก็บ "เงินสำรอง" ไว้เสมอ และที่สำคัญเราควร "ช่วยเหลือผู้อื่น" ในทางที่เราช่วยได้

มีคนกล่าวว่า COVID-
๑๙ ทำให้โลกของเราจะไม่มีวันกลับไปเป็น "เหมือนเดิม" แต่เราก็จะบอกว่า เราเองนั้นก็ไม่มีวันกลับไปเป็นเหมือนเดิมเช่นกัน เพราะชีวิตเรานับจากนี้ มีแต่จะ "ดีขึ้น" และ "ดีที่สุด" ในแบบที่ชีวิตของเราจะเป็นได้


++++++++++++++++++++


อดทนเวลาที่ฝนพรำ อย่างน้อยก็ทำให้เราได้เห็นถึงความแตกต่าง 


******************************

ฉันคือคนหนึ่งที่ชื่อปุ๋ย

วันพฤหัสบดีที่ ๓๐ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๓ 





วันอังคารที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2563

วันที่ ๒๘ เมษายน เมื่อ ๗๐ ปีก่อน คือวันพระราชพิธีราชาภิเษกสมรสของจอมบัลลังก์รัชกาลที่ ๙


เครดิตคลิปวิดีโอจาก https://www.youtube.com/watch?v=gOaE6fUH6KE



เพลง : เหมือนเคย
ศิลปิน : บอย โกสิยพงษ์ 
อัลบั้ม : Million Ways to Love - Part I 

ยิ้มที่ดูสดใส กับหัวใจที่อ่อนหวาน
ท่าทางเธอแบบนั้น ดูเท่าไรไม่เคยเบื่อ

แม้เวลาจะพ้นไป นานสักเท่าไร
เธอยังคงสดใสได้อย่างเหลือเชื่อ

เสียงหัวเราะในวันนั้น ฉันยังจำถึงวันนี้
นึกทีไรรู้สึกดี และดีทุกๆ เมื่อ

* แม้เวลาจะพ้นไป นานสักเท่าไร
ไม่เคยมีวันไหนที่ฉันจะเบื่อเลย

** ต่อให้โลกจะหมุนสักเท่าไร
เธอยังคงสดใสอ่อนหวานเหมือนเคย
ต่อให้ใครจะสวยเท่าไร รู้ไหมว่าฉันเฉยๆ
ก็เพราะว่าเธอน่ารักทุกๆ วัน
จนไม่อาจเปลี่ยนใจฉันที่มีให้เธอได้เลย
ฉันก็คงต้องบอก ฉันรักเธอ
เหมือนเคย

ทุกอย่างช่างดูเหมือนฝัน
ตั้งแต่เราได้พบกัน
เธอเติมให้ฉันเต็มโดยไม่ต้องเอ่ย

( ซ้ำ * , ** )

ก็เพราะว่าเธอน่ารักทุกๆ วัน
จนไม่อาจเปลี่ยนใจฉันที่มีให้เธอได้เลย
ฉันก็คงต้องบอก ฉันรักเธอ
เหมือนเคย

ต่อให้โลกจะหมุนสักเท่าไร
เธอยังคงสดใสอ่อนหวานเหมือนเคย
ต่อให้ใครจะสวยแค่ไหน รู้ไหมสำหรับฉันนั้นยังเฉยๆ

ก็เพราะว่าเธอน่ารักขึ้นทุกวัน
จนไม่อาจเปลี่ยนใจฉันที่มีให้เธอได้เลย
ฉันก็คงต้องบอก ฉันรักเธอ
เหมือนเคย


(เครติตเนื้อเพลงจาก https://xn--72c9bva0i.meemodel.com//เนื้อเพลง/เหมือนเคย_บอย%20โกสิยพงษ์) 



++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


สวัสดีค่ะ ท่านผู้อ่านทุกท่าน

วันที่ ๒๘ เมษายน พุทธศักราช ๒๔๙๓ หรือเมื่อ ๗๐ ปีก่อน คือวันที่พสกนิกรไทยทุกหมู่เหล่าปลื้มปิติ เนื่องด้วยพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงเข้าพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส กับ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง

ย้อนกลับไปก่อนที่พระองค์จะทรงประกอบพระราชพิธีอภิเษกสมรส เนื่องด้วยเมื่อ "พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร" เสด็จสวรรคตกะทันหัน ทำให้ "สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช" เสด็จขึ้นครองสิริราชสมบัติ เป็นพระมหากษัตริย์ลำดับที่ ๙ แห่งราชวงศ์จักรี แล้วจากนั้นไม่นานพระองค์ก็เสด็จพระราชดำเนินไปศึกษาต่อที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ แล้วกาลเวลาก็พาพระองค์ได้พบกับ "คู่ชีวิต" ที่จะร่วมฝ่าฟันความยากลำบากต่างๆเพื่อพัฒนาให้คุณภาพชีวิตของประชาชนชาวไทยดีขึ้น เมื่อพระองค์เสด็จพระราชดำเนินไปยังประเทศฝรั่งเศส และได้ทรงพบกับ "หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร" ซึ่งเป็นธิดาของหม่อมเจ้านักขัตมงคล กิติยากร เอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ในขณะนั้น 

เมื่อวันที่ ๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๔๙๑ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ ทำให้พระเนตรขวาของพระองค์ไม่สามารถทอดพระเนตรได้ดั่งเดิม ดังนั้น หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร จึงได้มาเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทที่พระตำหนักวิลล่าวัฒนาตามพระประสงค์ของสมเด็จพระราชชนนี กระทั่งพระอาการประชวรดีขึ้น และด้วยพระราชปฏิพัทธ์ของ ๒ พระองค์ที่ทรงมีต่อกัน และแล้วในวันที่ ๑๙ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๔๙๒ เวลา ๑๐.๐๐ น. ณ โรงแรมวินด์เซอร์ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงมอบพระธำมรงค์เพชรวงเล็กที่สมเด็จพระบรมราชชนกทรงหมั้นกับสมเด็จพระบรมราชชนนี โดยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตรัสกับพระคู่หมั้นว่า "สิ่งนี้เป็นของมีค่ายิ่ง และเป็นของที่ระลึกด้วย" ซึ่งหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์เลือกเองระหว่างพระธำมรงค์องค์นี้กับพระธำมรงค์ทับทิมล้อมเพชรของสมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า

จากนั้นสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร ผู้ซึ่งเป็นพระคู่หมั้น เสด็จกลับประเทศไทยอีกครั้งในเดือนมีนาคม พุทธศักราช ๒๔๙๓ เพื่อร่วมพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ ๒๙ มีนาคม พุทธศักราช ๒๔๙๓

เมื่อเวลาผ่านไป ๑ เดือน หลังจากการถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร เสร็จสิ้นลง พระราชพิธีราชาภิเษกสมรสก็ได้จัดขึ้นในวันที่ ๒๘ เมษายน พุทธศักราช ๒๔๙๓ ณ วังสระปทุม โดยสมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ทรงเป็นประธานในพระราชพิธี หลังจากที่ทรงเจิมพระนลาฏพระราชทานสองพระองค์ และทรงรดน้ำพระพุทธมนต์จากพระมหาสังข์แล้วนั้น เกิดปรากฏการณ์ที่สร้างความประหลาดใจระคนความปลาบปลื้มแก่ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์อย่างยิ่ง เนื่องด้วยสมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ซึ่งทรงมีความจำไม่ปกติ และไม่ตรัสมาเป็นเวลานาน กลับมีความทรงจำกลับคืนมาอย่างปกติเป็นที่น่าอัศจรรย์ โดยพระองค์ตรัสว่า "เอ้า หันออกไปยิ้มกับผู้คนที่เขามางานซิ เขาอุตส่าห์มากันเต็มๆ ออกไปให้เขาเห็นหน่อย" ในการพระราชพิธีราชาภิเษกสมรสนี้ มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร ขึ้นเป็น สมเด็จพระราชินีสิริกิติ์ และเมื่อวันที่ ๕ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๔๙๓ เป็นวันที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกตามแบบโบราณราชประเพณี ณ พระที่นั่งไพศาลทักษิณ ในโอกาสนี้ ทรงสถาปนาเฉลิมพระเกียรติยศสมเด็จพระอัครมเหสีขึ้นเป็นสมเด็จพระบรมราชินี โดยประกาศสถาปนาเฉลิมพระเกียรติยศสมเด็จพระราชินีสิริกิติ์ ขึ้นเป็น สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินี

ในวันที่จัดพระราชพิธีราชาภิเษกสมรสนั้น พระราชพิธีดำเนินไปอย่างเรียบง่าย เมื่อถึงการถวายพระพรชัยมงคล พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนชัยนาทนเรนทร ผู้ทรงเป็นตัวแทนพระบรมวงศานุวงศ์ได้ตรัสถวายพระพรชัยมงคล ด้วยความตอนหนึ่งว่า "ได้ทรงพิจารณาเลือกสรรประสบผู้ที่สมควรแก่การสนองพระยุคลบาท ร่วมทุกข์ ร่วมสุข แบ่งเบาพระภาระในภายหน้า" ซึ่งความนี้คือความจริงทุกประการ เพราะตลอดระยะเวลา ๗๐ ปีที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงครองสิริราชสมบัติ เหล่าพสกนิกรได้เห็นสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เสด็จพระราชดำเนินเคียงกัน เพื่อบำบัดทุกข์ บำรุงสุขให้กับราษฎรทั่วทั้งแผ่นดิน เหมือนดั่งภาพต่างๆที่ปรากฏอยู่ในวีดีโอเพลง "เหมือนเคย" ซึ่งศิลปินก็คือคุณบอย โกสิยพงษ์ และขับร้องโดยคุณต้อย เศรษฐา ศิระฉายา   


ความทรงจำของพสกนิกรชาวไทยเมื่อกล่าวถึงพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ก็มักจะมีสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง อยู่ด้วยเสมอ เนื่องจากทั้งสองพระองค์ต่างอยู่เคียงข้างกันตลอดมา 





เครดิตข้อมูลจาก 
๒. หนังสือ "แสงแห่งแผ่นดิน" 



+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


ฉันคือคนหนึ่งที่ชื่อปุ๋ย

วันอังคารที่ ๒๘ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๓ 


วันจันทร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2563

บทความที่ส่งต่อกันทางไลน์--เดี๋ยวโควิด-๑๙ จะหายไป(จริงหรือ)

สวัสดีค่ะ ท่านผู้อ่านทุกท่าน 

ในช่วงนี้สถานการณ์โควิด-๑๙ ยังไม่คลี่คลายลงเท่าที่ควร ข้อมูลข่าวสารที่ส่งกันส่วนใหญ่ยังเป็นเรื่องของโรคร้ายนี้ วันนี้ปุ๋ยจึงนำบทความที่ได้รับการส่งต่อกันทางไลน์มาให้ท่านผู้อ่านได้อ่านและปฏิบัติตามกันค่ะ

+ + + + + + + + + + + + + + + + +

ด็อกเตอร์ชื่อดังนามว่า “Dr. Erik Fleischma” ผู้เชี่ยวชาญเรื่องโรคระบาดอีโบล่า ที่ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาส่งไปควบคุมโรคระบาดเป็นลำดับแรกๆของโลก ได้ให้ข้อมูลว่า
คำที่กล่าวว่า “เดี๋ยวโควิด-๑๙ จะหายไป” แล้วทุกอย่างจะกลับมาเหมือนเดิมได้ คำนี้ "ผิด" เพราะโรคโควิด-๑๙ ไม่มีวันหายไปไหน แต่จะอยู่กับเรา เหมือนกับที่ "โรคซาร์ส", "โรคอีโบล่า" และ "โรคเมอร์ส" ที่ยังคงมีอยู่ และจะยังคงอยู่ไปกับเรา เมื่อโควิด-๑๙ เข้ามาในโลกใบนี้แล้ว เขาไม่มีทางที่จะหายไปได้ แล้วเราจะอยู่กับมันได้อย่างไร

Dr. Erik Fleischma กล่าวว่า โรคโควิด-๑๙ นี้ มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ซึ่งข้อเสียก็คือ โรคนี้ติดคนง่ายเกินไป ในขณะที่ข้อดีคือ เมื่อติดแล้ว คนเราจะไม่เสียชีวิตทันที ถ้าคนที่อายุมากกว่า ๖๕ ปีขึ้นไปติดโรคนี้ โอกาสที่คุณจะไม่สบายอย่างหนักหรือเสียชีวิต จะเพิ่มขึ้นเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ ทั้งนี้อย่าลืมคำนึงถึงผู้สูงอายุที่มีโรคประจำตัวด้วย เพราะพวกเขาจะมีภูมิต้านทานค่อนข้างต่ำ ทำให้ร่างกายต่อสู้กับเชื้อโรคไม่ค่อยไหว แต่ถ้าคนที่อายุน้อยกว่า ๖๕ ปี แล้วสุขภาพดี การทำงานของปอดดี มีภูมิคุ้มกันดี ไม่มีโรคแทรกซ้อน โอกาสเสียชีวิตมีไม่ถึง ๑ เปอร์เซ็นต์ แต่เราก็ไม่สามารถละเลยได้ เพราะโอกาสติดโรคนั้นมีสูงมาก

วิธีแก้ปัญหาที่ด็อกเตอร์แนะนำก็คือ เราต้องเปลี่ยนวิธีคิดก่อนว่า โควิด-๑๙ จะอยู่กับเราตลอดไป ไม่หายไปไหน วิธีการแก้ปัญหาคือ
๑. สร้างภูมิคุ้มกันของเราแข็งแรงขึ้น ไม่มีอย่างอื่นเลย ที่จะช่วยให้เราไม่กระทบกับปัญหานี้
๒. ต้องนอนหลับ เพราะการนอนคือสิ่งที่สำคัญที่สุด ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณขับรถยนต์เป็นเวลา ๒๔ ชั่วโมง แน่นอนว่ารถต้องเสีย ร่างกายของคนเราก็เช่นเดียวกัน ต้องพักผ่อนให้ได้อย่างน้อยวันละ ๗ ชั่วโมง เพื่อให้ร่างกายซ่อมแซมตัวเอง ในโลกนี้ไม่มีอะไรดีเท่าระบบร่างกายของเรา จึงเป็นคำถามที่ว่า "ทำไมคนเราถึงต้องไปโรงพยาบาล" ซึ่งด็อกเตอร์ก็ได้กล่าวว่า "นั่นเป็นเพราะว่าหมออยากให้เรานอนพักผ่อน เพราะการนอนหลับ คือสิ่งที่สำคัญที่สุด"
๓. ถ้าคุณไม่อยากติดโรค หรือติดแล้วไม่อยาก เสียชีวิต สิ่งที่เราควรปฏิบัติก็คือ รับประทานวิตามินให้เยอะๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมาก โดยด็อกเตอร์ท่านนี้ได้แนะนำวิตามิน ๓ ชนิดที่ควรรับประทาน ได้แก่ วิตามินบีคอมเพล็กซ์ , วิตามินดี และสำคัญที่สุด ก็คือ วิตามินซี เพราะวิตามินซี สามารถสร้างภูมิคุ้มกันให้ตัวเราได้ จึงเป็นวิตามินที่สำคัญมาก
๔. เชื้อโรคพวกนี้ต้องกิน“น้ำตาล” ถ้าเรามีน้ำตาลเยอะในตัว เชื้อโรคยิ่งชอบ โดยเฉพาะน้ำตาลที่ผลิตมาจากโรงงาน ไม่ใช่น้ำตาลธรรมชาติ อันนี้ต้องระวังให้ดี น้ำตาลธรรมชาติ ที่เผาผลาญง่ายๆ สามารถรับประทานได้ปกติ
๕. การออกกำลังกาย เป็นสิ่งที่จำเป็นมาก เราควรต้องออกกำลังกายให้มากขึ้น เพื่อให้ปอดแข็งแรง 
๖. เลิกสูบบุหรี่ เลิกดื่มเครื่องดื่มมึนเมา เพราะจะทำให้ปอดของเราอ่อนแอ

โรคเหล่านี้ เกี่ยวข้องกับตัวเราโดยเฉพาะ เราเองคือผู้ที่จะเอาชนะโรคนี้ได้ สิ่งที่โคโรน่าไวรัสชอบที่สุด ก็คือ "ความเครียด" เพราะความเครียดทำให้ภูมิต้านทานต่ำ แล้วจะยิ่งโดนโควิดทำอันตรายในร่างกายได้ง่ายๆ

ใครที่กำลังสงสัยว่า ควรจะไปตรวจหรือไม่ ด็อกเตอร์ท่านก็แนะนำว่า "ไม่จำเป็น" นอกเสียจากว่า ร่างกายของเราจะเกิดความผิดปกติ ๓ ข้อ คือ
๑. ไอแห้งๆ เหมือนคนแก่ที่ป่วยหนัก
๒. ตัวร้อน
๓. เจ็บคอ
ถ้ามีอาการเหล่านี้ควรจะไปตรวจร่างกายทันที

สรุปแล้ว สิ่งที่เราพึงปฏิบัติมีดังต่อไปนี้ 
๑. สร้างภูมิต้านทานให้ตนเองแข็งแรง ทั้งกาย และใจ
๒. งดน้ำตาลที่เป็นอาหารของโรค
๓. รับประทานวิตามินให้มากขึ้น โดยเน้นวิตามินบี วิตามินดี และวิตามินซี
๔. ออกกำลังกายให้มากขึ้น เพื่อให้ปอดแข็งแรง
๕. งดเหล้าและงดบุหรี่ 
๖. นอนหลับให้เพียงพอ อย่างน้อยควรนอนหลับให้ได้วันละ ๗ ชั่วโมง
๗. ไม่ควรเครียด ถ้าเครียดเมื่อไร ก็ผ่อนคลายด้วยการดูรายการ ละคร หรือภาพยนตร์ตลกคอเมดี้ เราควรอารมณ์ดีให้มากขึ้น 

+ + + + + + + + + + + + + + + + +

เมื่อท่านผู้อ่านได้อ่านข้อมูลทั้งสิ้นนี้แล้ว ควรปฏิบัติตามเพื่อสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงของท่านนะคะ นอนหลับพักผ่อนให้มาก เครียดให้น้อยลง แล้วเราจะต่อสู้กับเชื้อโรคต่างๆได้ค่ะ 

+ + + + + + + + + + + + + + + + +

ฉันคือคนหนึ่งที่ชื่อปุ๋ย

วันจันทร์ที่ ๒๐ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๓ 







วันจันทร์ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2563

บันทึกโควิด-๑๙ ในวันที่ ๕ เมษายน ๒๕๖๓

สวัสดีค่ะ ท่านผู้อ่านทุกท่าน

ณ ขณะนี้สถานการณ์โควิด-๑๙ ยังไม่ยุติลง จึงมีผู้คนเขียนบทความขึ้นมามากมาย รวมถึงข้อความด้านล่างนี้ที่ปุ๋ยได้รับจากการส่งต่อกันทางไลน์ ปุ๋ยจึงนำมาเสนอให้ทุกท่านได้อ่านค่ะ

@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@

บันทึก Covid-๑๙

บันทึกวันที่ ๕ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๓
“โลกจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป”

ตลอดชีวิตตั้งแต่เกิดมา อะไรที่ไม่เคยเห็นไม่เคยเจอ ก็ได้เจอ ได้เห็นกันในคราวนี้

- ปีที่ไม่มีการเล่นน้ำวันสงกรานต์
- ไม่ได้ไปเช็งเม้งที่สุสาน
- เครื่องบินหยุดทำการบิน
- ร้านสะดวกซื้อเซเว่นอีเลฟเว่นปิดตอนกลางคืน จากที่บริการ ๒๔ ชั่วโมง
- ผู้คนใส่หน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าไปมาหาสู่กัน   
- ห้างสรรพสินค้า ผับ บาร์ ปิดทำการ
- ตลาดหุ้นติดเบรค
- น้ำมันมีราคาเหมือนช่วง ๒๐ ปีก่อน
- ถนนโล่ง ไม่มีรถติด
- คนเก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน
- รถส่งอาหารวิ่งกันทั่วไป
- ร้านอาหารไม่มีเก้าอี้บริการให้ลูกค้านั่ง   
- ธุรกิจหยุดนิ่งแทบทุกประเภท โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยว 
- หยุดออกสลากกินแบ่งรัฐบาล(หวย) ๒ งวด ซึ่งจัดว่าเป็นครั้งแรกในชีวิต
- เลื่อนการจัดแข่งขันโอลิมปิก
- โรงภาพยนตร์ปิด ไม่มีการฉายภาพยนตร์
- ร้านนวด สปา ร้านตัดผม ร้านเสริมสวย ปิดให้บริการ
- ติวเตอร์ เรียนพิเศษ หยุดทำการเรียนการสอน
- ปิดประเทศกันไปหลายประเทศ
- ผู้คนทั่วโลกล้มตายกันดังใบไม้ร่วง ฯลฯ

โลกคงกำลังเยียวยาตัวเอง  ด้วยเครื่องมือที่เราเรียกว่า "ไวรัส" ความก้าวหน้านับร้อยปีทางการแพทย์ ที่พัฒนาไปมาก แต่จนปัจจุบัน เรายังไม่สามารถ สร้างยา "ฆ่า" ไวรัสได้เลย  ทำได้แค่ยา "ต้าน"  ฤทธิ์มันไว้ ไม่ให้  แพร่ตัวเองมากขึ้นจนกว่า ภูมิต้านทานของร่างกายทำงาน จนไวรัสหมดฤทธิ์ไปเอง


เราเคยคิดว่าเราเจ๋ง  เราครองโลก จนผลาญทรัพยากร ไปมากมาย โลกร้อนขึ้น ขยะล้นโลก ป่าไม้เหลือน้อยลง ไมโครพลาสติกเต็มทะเล อากาศย่ำแย่ โลกเต็มไปด้วยมลภาวะ โลกคงบอบช้ำจนสุดจะทนแล้ว เลยปล่อยเครื่องมือ  "ไวรัส"  ออกมาเพื่อ "หยุด"  ทุกกิจกรรม ที่ทำลายทำร้ายโลก กระทั่งเมื่อโลกเย็นลง น้ำใสขึ้น อากาศดีขึ้น จากการลดการเดินทางของคน ทำให้มนุษย์โลกได้เห็นภาพของ...

- เต่าขึ้นมาวางไข่บนชายหาดที่ว่างเปล่า เพราะปราศจากนักท่องเที่ยว
- โลมาว่ายน้ำเล่นในคลองเวนิส ประเทศอิตาลี หลังเกิดการลดจำนวนประชากรที่มากมาย เกินกว่าโลกจะรับไหว

หลังเหตุการณ์นี้ ผ่านไป จะยังมีช็อคเวฟจาก การถดถอยของเศรษฐกิจทั่วโลกอีกระลอกใหญ่ที่ต้องได้รับผลกระทบกันถ้วนทั่ว ถ้ายังมีงานทำก็ต้องทำงานนั้นต่อไป อย่างน้อยก็มั่นคงในระดับหนึ่ง และการล้างโลกครั้งนี้ จะไม่ใช่ครั้งสุดท้ายแน่นอน หรือ ที่จริงแล้วมนุษย์เองที่คือ มะเร็งของโลก และโลกกำลังฉีดคีโมอยู่  ขอให้ทุกท่านโชคดี


บันทึกไว้ว่าครั้งหนึ่งในชีวิตได้พบเจอกับสถานการณ์นี้ โดยบันทึกเมื่อวันที่ ๕ เมษายน ค.ศ.๒๐๒๐

#บันทึกไว้ในความทรงจำในชีวิต
#ขออนุญาตและขอบคุณผู้เขียนบทความส่งต่อกันมา

฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿


จากข้อความข้างต้นนั้น ทำให้เราได้รู้ว่า โลกของเราคงจะบอบช้ำมาไม่น้อย โลกจึงจำต้องรักษาตนเองเสียที โดยไม่จำเป็นต้องขอความเห็นชอบจากมนุษย์โลก เพราะโลกทราบดีว่ามนุษย์บางคนที่อาศัยโลกในช่วงระยะเวลาช่วงหนึ่ง ‘แล้งน้ำใจ’ โลกจึงต้องการสั่งสอนให้มนุษยชาติได้ทราบว่า ‘ธรรมชาติยิ่งใหญ่ที่สุด’ ถึงเวลาที่มนุษย์โลกควรจะคำนึงถึงธรรมชาติได้แล้ว เพราะธรรมชาติอดทนต่อพฤติกรรมของมนุษย์มานานเหลือเกินแล้ว ถึงเวลาที่โลกจะต้องเลิกอดทนกับมนุษย์เหล่านั้น แล้วซ่อมแซมร่างกายของโลกให้กลับมาแข็งแรงเหมือนเดิมเสียที ซึ่งการบำรุงรักษาสุขภาพของโลก อาจทำให้มนุษย์ที่อาศัยบนโลกต้องรับ ‘ไวรัสโคโรนา’ ไปโดยไม่ทันตั้งตัว ทั้งนี้ บุคลากรทางการแพทย์ทุ่มเทแรงกายแรงใจรักษาผู้ป่วยให้หายดีเป็นปกติ แต่ผู้ป่วยและผู้ที่ยังไม่ได้รับเชื้อโรค ก็ต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด มนุษย์เราโปรดจงอย่าลืมว่า เราเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ฉะนั้นธรรมชาติยิ่งใหญ่กว่าเราเสมอ ไวรัสนี้เป็นกระบวนการจัดการมนุษย์ของธรรมชาติ ถ้าเราไม่ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ที่ให้เรา ‘อยู่บ้าน รับประทานอาหารปรุงสุก ล้างมือให้บ่อย และรักษาระยะห่างกันแล้ว หากว่าธรรมชาติมองเห็นความประมาทของเรา ธรรมชาติก็จะส่งไวรัสโคโรนาให้มาจัดการเราอย่างง่ายดาย’ 


Zzzzzzzzzzzzzzzzzzzzzzzzzzzzzzzzzzz



ฉันคือคนหนึ่งที่ชื่อปุ๋ย

วันจันทร์ที่ ๖ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๓