วันอังคารที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

ผ่อนคลายกับนิยายเรื่อง “Friend รักเธอหมดใจยัยเพื่อนซี้”


สวัสดีค่ะ ท่านผู้อ่านทุกท่าน



เมื่อวานเป็นวันหยุดชดเชยวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ปุ๋ยจึงมีเวลานำหนังสือนิยายที่ซื้อเก็บมานานแล้วขึ้นมาอ่าน วันนี้ปุ๋ยจึงจะมารีวิวนิยายเรื่องหนึ่งที่เมื่อวานปุ๋ยเพิ่งได้อ่านไป และเมื่อเช้านี้ก็อ่านจนจบเรื่องแล้วค่ะ นิยายเรื่องนี้เป็นนิยายรักวัยรุ่น ที่เกี่ยวข้องกับวัยเริ่มต้นทำงาน นิยายเรื่องนี้มีชื่อว่า Friend รักเธอหมดใจยัยเพื่อนซี้” ซึ่งประพันธ์โดย Lady Dahlia ค่ะ
เมื่อได้เห็นชื่อเรื่องแล้ว ท่านผู้อ่านก็เข้าใจได้ในทันทีเลยใช่ไหมคะว่าเป็นเรื่องของ “เพื่อน” โดยนิยายรักระหว่างเพื่อนนั้นมีหลายเรื่องค่ะ บางเรื่องก็มีอุปสรรคความรักมากมายจากตัวละครอื่นๆ บางเรื่องก็ไม่ได้มาจากใครอื่นนอกจากตัวพระเอกนางเอกเท่านั้น แต่สำหรับเรื่องนี้มีอุปสรรคที่มาจากตัวละครอื่นๆ และความรู้สึกที่แท้จริงของพระเอกนางเอกเองค่ะ ในเวลาที่เล่าเรื่องราวออกมานั้น นักเขียนได้เลือกชื่อเล่นของตัวละครของเรื่องนี้มาเล่า ทั้งยังเขียนด้วยภาษาพูดอีกด้วย เนื่องจากเป็นนิยายที่สามารถเข้าถึงทุกคนทุกเพศทุกวัย ไม่เป็นทางการจนเกินไป อ่านได้อย่างเพลิดเพลิน เพียงเวลาไม่นานนักก็สามารถอ่านจนจบเล่มได้   
เปิดฉากแรกขึ้นมาพระเอกที่มีชื่อว่า แม็ก หรือ เมธิน ก็ทะเลาะกับ ก้อย หรือ ริสา ซึ่งเป็นนางเอกของเรื่องเสียแล้ว เดี๋ยวก็เอาหมอนมาตีกัน เดี๋ยวก็เถียงกันอย่างไม่ยอมแพ้ นอกจากนี้ยังมีการเรียกชื่อที่เป็นฉายาของอีกฝ่ายด้วย โดยฉายาของแม็กก็คือ พี่แม้น ในขณะที่ฉายาของก้อย ก็คือ ก้อน หรือ ทองก้อน เหตุที่เรียกว่าก้อนเพราะเวลาจะพิมพ์คำว่าก้อย มือดันกดผิดปุ่มไปโดนตัว น.หนู แทน จากคำว่าก้อยจึงกลายเป็นก้อนโดยปริยาย และด้วยความที่พวกเขาทะเลาะกันเป็นประจำเช่นนี้ จึงทำให้เพื่อนร่วมกลุ่มของพระนางแอบเชียร์ให้เพื่อนรักเปลี่ยนสถานะเป็นคนรัก สำหรับเพื่อนร่วมกลุ่มของแม็กและก้อย ก็มีชายหนุ่มอีก ๓ คนคืออ้น หรือ อนุวัฒน์ เป้ หรือ ปกรณ์ และ พล หรือ พอพล ซึ่งเป็นเพื่อนที่รู้จักกันมาจากเว็บบอร์ดจึงทำให้ได้รู้จักกัน และมาเป็นเพื่อนกัน เรื่องราวของพวกเขาก็เป็นเพียงแค่เพื่อนกลุ่มหนึ่งเท่านั้น เพื่อนที่เมื่อเรียนจบก็แยกย้ายไปทำงานตามสาขาที่ตนเองจบมา โดยแม็กไปทำงานเป็นครีเอทีฟในบริษัทโฆษณา ในขณะที่ก้อยเลือกเป็นนักเขียนแม้ว่าเธอจะจบบริหารธุรกิจ
ความสัมพันธ์ของแม็กและก้อยก็คงจะเป็นแค่เพียงเพื่อนเท่านั้น หากไม่เพราะวันหนึ่งที่แม็กไปพรีเซ็นต์งานกับลูกค้า แล้วได้พบกับล่ามของลูกค้าที่ชื่อว่า นุ่น ซึ่งเป็นแฟนของ ธัน หรือ ธันวา แฟนเก่าของก้อย ทำให้ก้อยที่พอจะทำใจเรื่องการคบกันของธันวากับนุ่น ต้องร้องไห้เสียใจ แม็กสงสารก้อยที่เธอยังรู้สึกเช่นนั้น แม็กจึงเลี่ยงการทำงานร่วมกันกับนุ่น เพราะไม่อยากให้ก้อยต้องเสียใจ จากนั้นแม็กและก้อยได้ไปร่วมงานแต่งงานของจอย ญาติผู้พี่ของก้อย โดยทั้งสองไปในฐานะแฟน ทว่าในงานก้อยได้พบกับธัน เธอจึงเผลอบอกไปว่าเธอเป็นแค่เพียงเพื่อนของแม็กเท่านั้น แม้ว่าก้อยจะทราบแล้วว่าธันเลิกรากับนุ่นไปแล้ว แต่เธอก็ไม่พร้อมที่จะกลับไปคบกับธันเป็นแฟนเหมือนก่อน โดยที่เธอเองก็ไม่ทราบว่าเพราะอะไรเช่นกัน ต่อมาความรู้สึกของเธอเริ่มชัดเจนขึ้นเมื่อแม็กคบกับหญิงสาวรุ่นพี่ที่ชื่อว่า ดาว ก้อยจึงอยากจะเลี่ยงการพบกันกับแม็กให้น้อยลง เพราะเธอเริ่มน้อยใจและเข้าใจสถานะของตนกับแม็กแล้วว่าเธอกับเขาเป็นได้แค่เพื่อนกันเท่านั้น จากนั้นธันวาที่ต้องการจะ รีเทิร์น กับก้อย ก็หาเหตุเรื่องที่ตนเป็นหอบหืดมาอ้าง เพื่อให้ก้อยมาดูแล แม็กก็น้อยใจที่ก้อยกลับไปคบกับธันวาอีกครั้ง จึงพูดจาประชดประชันก้อย ทำให้ก้อย ตบหน้า แม็กไปอย่างจัง และทั้งสองก็ไม่ได้พบกันเป็นเวลานาน เดือดร้อนจนถึงเพื่อนร่วมกลุ่มอย่างอ้น เป้ และพลต้องออกโรงนัดให้คนทั้งสองมาร่วมสังสรรกับพวกเขา เป็นเหตุให้เกิดเรื่องจนต้องเข้าโรงพยาบาล แม็กกับก้อยจึงเริ่มเปิดใจกันมากขึ้น แต่ธันวาก็ไม่ยอมแพ้ ยังคงต้องการจะรีเทิร์นกับก้อยให้ได้ เขาจึงพยายามใช้กำลังกับก้อย แต่ด้วยความที่ก้อยกลัวมากจนมโนสำนึกของเธอมีแค่เพียงชื่อของแม็ก เธอจึงได้ตะโกนเรียกให้แม็กมาช่วยในยามที่เธอมีภัย ด้วยเหตุนี้ธันวาจึงทราบแล้วว่าคนที่ก้อยรักคือใคร เขาจึงยอมตัดใจจากก้อย ท่านผู้อ่านคิดว่าเรื่องน่าจะจบลงอย่างงดงามได้แล้วใช่ไหมคะ แต่ยังค่ะ เพราะ Lady Dahlia นักเขียนของเรื่องยังคงมี gimmick อีกสักหน่อยให้คนอ่านรู้สึกหมั่นไส้ระคนเอาใจช่วยให้แม็กและก้อยเปลี่ยนสถานะจากเพื่อนเป็นแฟนเสียที เนื่องจากนักเขียนได้สร้างฉากให้ก้อยมาหาแม็กในขณะที่แม็กกำลังอยู่กับ แนน ผู้ที่เป็นแฟนเก่าของเขา คำพูดบางอย่างของแนนทำให้ก้อยเข้าใจผิดคิดว่าแนนกับแม็กจะกลับมาคบกันใหม่ กามเทพแผลงศรจำเป็นอย่างเป้ อ้น พล และ วิ หรือ วิรันยา เพื่อนของก้อย ต้องวางแผนให้แม็กรีบมาสารภาพความในใจที่แท้จริงของตนให้ก้อยได้รู้ ก่อนที่ก้อยจะไปเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษ แม็กจึงรู้หัวใจของตนแล้วว่าเขารักก้อยมากเพียงไหน ไม่ได้กลับไปคบกับแนนเหมือนที่ก้อยเข้าใจผิดไป และความจริงแล้วก้อยแค่เพียงไปเที่ยวฮ่องกงเท่านั้น ไม่ได้ไปเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษแต่อย่างใด จนเมื่อก้อยกลับมาแล้ว เส้นทางการเป็นนักเขียนของก้อยก็ประสบความสำเร็จไปอีกขั้น เนื่องจากนิยายของก้อยได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการ ในตอนจบของนิยายที่ก้อยเขียนก็เหมือนกันกับนิยายเรื่องนี้ที่ความรักของพระเอกนางเอกจบลงอย่างแฮปปี้เอนดิ้ง ซึ่งสำหรับปุ๋ยแล้ว เพื่อนๆของแม็กและก้อยกลุ่มนี้คือเพื่อนที่ดีมากๆ จัดว่าเป็นเพื่อนแท้ที่ปรารถนาแต่สิ่งที่ดีต่อกันเลยก็ว่าได้ หากไม่มีเพื่อนกลุ่มนี้แล้ว ความรักของแม็กและก้อยคงจะยังวนลูปหาทางออกไม่พบ ทั้งที่เรื่องนั้นเป็นเพียงแค่เส้นผมบังภูเขาเท่านั้น หากคนทั้งสองยอมพูดในสิ่งที่ตนรู้สึกจากหัวใจที่แท้จริงโดยไม่กลัวว่าจะต้องสูญเสียความเป็นเพื่อนไป แม็กและก้อยคงจะกุมมือกันอย่างมีความสุขในฐานะของคนรักไปนานแล้ว ทว่าก็เป็นไปตามโบราณที่ได้กล่าวไว้ ความรักที่แท้จริงจะต้องมีอุปสรรค ซึ่งเมื่อผ่านพ้นอุปสรรคได้ทั้งหมดแล้ว ความรักที่มีต่อกันจะงดงามและเปี่ยมด้วยคุณค่าค่ะ  
ในช่วงที่นักเขียนได้เขียนนิยายเรื่องนี้ ปุ๋ยคาดว่าน่าจะราวๆปีพุทธศักราช ๒๕๔๘ ถึง ๒๕๔๙ ซึ่งเป็นช่วงที่ปุ๋ยเรียนชั้นมัธยมปลายอยู่นั้น มีการกล่าวถึง MSN Messenger ที่เป็นโปรแกรมแชทผ่านอินเตอร์เน็ต ในช่วงเวลานั้น MSN เป็นที่นิยมในกลุ่มวัยรุ่นจนถึงกลุ่มคนทำงานเป็นจำนวนมาก เพราะสามารถพูดคุยได้ผ่านตัวหนังสือด้วยเวลาอันรวดเร็ว สามารถคุยกันผ่านกล้องได้ เหมือนแอพพลิเคชั่น Line และ Facebook Messenger ที่ปัจจุบันนี้ปีพุทธศักราช ๒๕๖๒ ได้รับความนิยมกัน ทว่าในปีพุทธศักราช ๒๕๕๗ MSN Messenger ก็ต้องปิดตัวลงเพราะมีแอพพลิเคชั่นสื่อสารๆอื่นมาแทน
หากท่านผู้อ่านท่านใดสนใจในนิยายที่เกี่ยวกับความรักของเพื่อน มิตรภาพของเพื่อน มีส่วนเกี่ยวข้องกับชีวิตการทำงาน และต้องการจะรำลึกถึงเทคโนโลยีด้านโทรศัพท์มือถือและการใช้อินเตอร์เน็ตสื่อสารในช่วงปีพุทธศักราช ๒๕๔๘ ถึง ๒๕๔๙ แล้วนั้น นิยายเรื่อง Friend รักเธอหมดใจยัยเพื่อนซี้” สามารถตอบโจทย์ของท่านผู้อ่านได้เป็นอย่างดีอีกเรื่องหนึ่งเลยค่ะ

888888888888888888888888


ฉันคือคนหนึ่งที่ชื่อปุ๋ย

วันอังคารที่ ๓๐ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๒

   


วันจันทร์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

บทความดีๆที่ได้รับจากการส่งต่อมาทางไลน์ ฉบับที่ ๘

     สวัสดีค่ะ ท่านผู้อ่านทุกท่าน 

ภาพพระราชวังคยองบก ประเทศเกาหลีใต้
เครดิตภาพจาก 
https://www.facebook.com//truemoney/photos/a.132646266765506/2003300646366716/?type=3&theater

     ประเทศเกาหลีใต้เป็นประเทศที่คนไทยจำนวนไม่น้อยให้ความสนใจนะคะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องซีรี่ส์ เรื่องสถานที่ท่องเที่ยว เรื่องอาหาร เรื่องเพลง เรื่องภาษา จึงทำให้ปุ๋ยอยากทราบว่าเพราะเหตุใดประเทศเล็กๆเพียงแค่มีขนาดเท่ากับภาคเหนือของประเทศไทย จึงพัฒนาตนเองให้แข็งแรงทางเทคโนโลยี และด้านอื่นๆได้ ดังนั้นบทความที่ได้รับจากทางไลน์มานำเสนอ ซึ่งบทความนี้จะช่วยให้ท่านผู้อ่านเข้าใจมากขึ้นค่ะ 


ภาพกรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้
เครดิตภาพจาก https://talk.mthai.com/inbox/456854.html

     คนสนใจกันไม่น้อยว่า ประเทศเกาหลีใต้ทำเช่นไรถึงพัฒนาจากประเทศที่มีสงครามและความวุ่นวายทางการเมือง ไปเป็นประเทศสมาชิกองค์การความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา หรือ OECD ในเวลาอันรวดเร็ว ประเทศเกาหลีใต้ใช้ระบบการศึกษาแบบใดถึงได้พัฒนาตนเองจากประเทศที่มีทรัพยากรน้อยไปสู่ประเทศที่ส่งออกสินค้าไฮเทคได้ในสัดส่วนเกือบจะร้อยละ ๓๐ ของยอดการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมได้ คำตอบคือการพัฒนาคนผ่านระบบการศึกษาอย่างเคร่งครัดและมุ่งมั่น

ภาพมหาวิทยาลัยแห่งชาติโซล
เครดิตภาพจาก https://campus.campus-star.com/education/31492.html

     ในปีพุทธศักราช ๒๕๕๑ เกาหลีใต้นำโรงเรียนมัธยมศึกษาสายอาชีพ ที่เรียกว่า Meister High School มาใช้วางรากฐานของการสร้างผู้เชี่ยวชาญเฉพาะสาขา เมื่อมาถึงปีพุทธศักราช ๒๕๕๙ ประเทศเกาหลีใต้มีโรงเรียนมัธยมศึกษาสายวิชาชีพแบบนี้มากถึง ๔๗ แห่ง ทั้งหมดเป็นโรงเรียนที่เน้นให้คนเรียนสายเทคนิคที่มีคุณภาพสูงเพื่อสร้างผู้เชี่ยวชาญ อีกทั้งประเทศเกาหลีใต้ได้ให้นักเรียนในโรงเรียนมัธยมปลายสายวิชาชีพไปฝึกงานอุตสาหกรรมในประเทศเยอรมนี ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ประเทศออสเตรเลีย และอีกหลายๆประเทศ เพื่อให้นักเรียนชาวเกาหลีใต้ได้ฝึกปรับตัวให้เข้ากับสภาวะแวดล้อมข้ามประเทศ นักเรียนคนใดที่จบจากโรงเรียนมัธยมปลายสายวิชาชีพสามารถเลื่อนเกณฑ์ทหารได้นานถึง ๔ ปี เนื่องจากรัฐบาลต้องการให้คนที่เรียนจบ สามารถทำงานได้อย่างต่อเนื่อง ไม่ต้องมาสะดุดหยุดลงเพราะต้องไปเกณฑ์ทหาร แต่เมื่อถึงคราวต้องเกณฑ์ทหาร ก็ได้สิทธิทำงานตามความถนัดพิเศษ

ภาพมหาวิทยาลัยยอนเซ
เครดิตภาพจาก https://campus.campus-star.com/education/31492.html

     ผลการสำรวจโรงเรียนมัธยมศึกษาสายวิชาชีพ ความสำเร็จที่เห็นชัดเลยก็คือ ‘คนที่จบจากโรงเรียนแบบนี้ไปมีงานทำสูงกว่าร้อยละ ๙๐’ และ ‘บริษัทที่จ้างผู้จบการศึกษาจากโรงเรียนเหล่านี้ไปทำงานนั้นล้วนพอใจเป็นอย่างมาก’

ภาพทหารเกาหลีใต้
เครดิตภาพจาก https://tna.mcot.net/view/5a5f040fe3f8e420a4434d68

     ประเทศเกาหลีใต้เป็นประเทศที่คิดนวัตกรรมการศึกษาของมนุษยชาติอยู่ตลอดเวลา เพราะต้องการใช้การศึกษาดันประเทศตัวเองให้ไปอยู่ในแถวหน้าของโลกในทุกด้าน หากใครได้พูดคุยกับนักการศึกษาเกาหลีใต้แล้วจะทราบได้ว่า ภายใต้สมองของคนเหล่านี้ จะคิดแต่เรื่องการศึกษาระดับโลก และได้ทำการทดลองซ้ำๆ เพื่อค้นหาวิธีการเรียนการสอนระดับโลก โดยในปีพุทธศักราช ๒๕๕๘ ประเทศเกาหลีใต้ได้ทดลองตั้งโรงเรียนแห่งอนาคตมากถึง ๑๓๔ แห่ง นักเรียนทั้งหมดใช้ตำราดิจิทัลเพื่อขยายแหล่งข้อมูลที่แต่เดิมอยู่แต่แค่ในตำราเรียน หรือมาจากครูผู้สอนเท่านั้น กระทรวงศึกษาธิการเกาหลีใต้ยังต้องการให้มนุษย์มีการศึกษาเพื่อความสุข ให้มีความคิดแบบสร้างสรรค์ จึงออกคำสั่งยกเลิกการสอบแบบเดิมที่ทั้งประเทศใช้ข้อสอบชุดเดียวกัน
ขณะนี้ ประเทศเกาหลีใต้กระจายอำนาจให้แต่ละมหาวิทยาลัยมีสิทธิในการเลือกใช้วิธีเฉพาะของตนในการคัดนักเรียนเข้าไปเป็นนักศึกษาในสถาบันของตนเอง แต่เดิมประเทศเกาหลีใต้เคยสอนคนให้เก่งในตำรา ทำให้บางคนจึงเรียนจบมาด้วยคะแนนเกียรตินิยม แต่กลับทำงานไม่เป็น จากการค้นคว้าวิจัยหาระบบการศึกษาใหม่ๆ พบว่า คนเราต้องเรียนรู้พร้อมกับการทำงาน ประเทศเกาหลีใต้จึงสร้างโรงเรียนมัธยมต้นแบบมาทดลองก่อน เป็นโรงเรียนที่มีความร่วมมือระหว่างภาควิชาการกับภาคอุตสาหกรรม ให้นักเรียนได้เรียนพร้อมกับการทำงาน ซึ่งปรากฏว่าได้ผลดีเป็นอย่างมาก สามารถผลิตบุคลากรออกมาได้อย่างมีประสิทธิภาพ จนกระทั่งปัจจุบันนี้ก็จึงเร่งขยายแนวทางทางการศึกษาแบบนี้ออกไปให้ครอบคลุมทั้งประเทศ โดยสอนให้เยาวชนมีการศึกษาเพื่อการรวมประเทศ มากกว่าการนำเรื่องประวัติศาสตร์และความขัดแย้งมาสอนให้คนเกลียดกันหรือโจมตีกัน เพื่อเป็นการเตรียมพร้อมสำหรับการรวมเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างสันติวิธีระหว่างประเทศเกาหลีใต้และประเทศเกาหลีเหนือในอนาคต ประเทศเกาหลีใต้จึงสอนเพื่อให้นักเรียนของตนเองมีความเข้าใจคนเกาหลีเหนือด้วย

ภาพเกาหลีเหนือ
เครดิตภาพจาก https://www.north-korea-travel.com/thai-home.html

     จากบทความนี้ทำให้เราได้ทราบว่าประเทศเกาหลีใต้เป็นอีกประเทศหนึ่งบนโลกใบนี้ที่เอาจริงเอาจังกับการพัฒนาคนของตนเองอย่างมุ่งมั่น ซึ่งประเทศไทยควรศึกษาพิจารณาถึงความเหมาะสมในการนำมาปรับใช้สำหรับโลกของเราในยุคปัจจุบันค่ะ 



เครดิตภาพจาก https://teen.mthai.com/education/158446.html

++++++++++++++++++++++++++++++++++

     

     ฉันคือคนหนึ่งที่ชื่อปุ๋ย 

     วันจันทร์ที่ ๑๕ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๒    





วันพฤหัสบดีที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

สายรุ้ง เปรียบดั่งความสวยงามและความสุข

















เครดิตภาพและวีดีโอจากไลน์กลุ่มกว๋องสิวสัมพันธ์ 
โดยคุณอุทัย อัษฎาธร 


****************************************

     
สวัสดีค่ะ ท่านผู้อ่านทุกท่าน

     สำหรับวีดีโอและภาพด้านบนคือ "สายรุ้ง" หรือ "รุ้งกินน้ำ" สองเส้นบนทางด่วนบรมราชชนนีวันอาทิตย์ที่ ๓๐ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๒ เวลา ๑๘.๓๐ น.ค่ะ 


Rainbow
เครดิตภาพจาก
https://www.uctoday.com/collaboration/team-collaboration/building-colourful-communication-strategy-ale-rainbow/


     
ปุ๋ยมีชื่อภาษาจีนที่มีความหมายว่า สายรุ้ง แต่เพราะชื่อว่าสายรุ้งหรือเปล่า ถึงทำให้มีโอกาสได้เห็นสายรุ้งของจริงเพียงครั้งเดียวเท่านั้น แต่ไม่ใช่ภาพด้านบนนะคะ เพราะนั่นคือภาพที่ผู้อื่นนำมาแชร์ค่ะ 


彩虹
เครดิตภาพจาก
https://fstoppers.com/aerial/photographer-captures-rare-rainbow-jersey-291374


     
มีเรื่องประทับใจอยู่ ๑ เรื่องที่ปุ๋ยอยากจะขอถ่ายทอดให้ท่านผู้อ่านได้ทราบค่ะ เมื่อเดือนพฤศจิกายน ปีพุทธศักราช ๒๕๖๐ ปุ๋ยได้มีโอกาสไปตัดสินการแข่งขันเล่าเรื่องโดยใช้ภาษาจีน หัวข้อคือ "สายรุ้ง" ซึ่งนักเรียนเมื่อได้เห็นหัวข้อแล้ว จะต้องเล่าเรื่องให้สอดคล้องกับหัวข้อเรื่อง ปุ๋ยจำได้ว่า มีนักเรียนจากโรงเรียนแห่งหนึ่งที่ปุ๋ยจำชื่อโรงเรียนไม่ได้แล้ว เขาเล่าประมาณว่า 
     "สายรุ้ง เปรียบเสมือนอนาคตอันสวยงาม เรามักจะเห็นสายรุ้งทอดผ่านหลังจากฝนตก ซึ่งเมื่อเราได้เห็นสายรุ้งสวยงามในช่วงเวลาหนึ่งแล้ว เราต่างรู้สึกมีความสุขมาก เราจะได้เห็นสายรุ้งก็ต่อเมื่อฝนหยุดตกแล้วเท่านั้น ดังนั้นแล้วฝนที่ตกหนักก็เปรียบได้ดั่งกับอุปสรรคที่ขวางกั้นเส้นทางชีวิตของเรา แต่เมื่อฝนหนักหยุดตกแล้ว สายรุ้งที่เราไม่ค่อยได้มีโอกาสพบเห็น ก็จะปรากฏขึ้น สายรุ้งที่เราได้เห็นนั้น เราจะลืมเลือนความเปียกชื้นอันเกิดจากฝน กลับกลายเป็นการขอบคุณที่ธรรมชาติได้รังสรรค์ความสวยงามนี้ขึ้น หากเราไม่พบเจออุปสรรคแล้ว ปลายทางซึ่งเปรียบถึงอนาคตก็คงไม่ได้เห็นความงดงามที่เปี่ยมคุณค่า" 


彩虹
เครดิตภาพจาก http://www.epochtimes.com/b5/15/7/4/n4473043.htm


     สำหรับปุ๋ยแล้ว สายรุ้งเปรียบเหมือน "ความสวยงามและความสุข" ค่ะ เนื่องจากว่าเมื่อเราได้เห็นสายรุ้งหลังจากที่ฝนตกแล้ว เราจะรู้สึกมีความสุขเป็นอย่างมาก เป็นความสุขที่ได้เห็นสิ่งที่สวยงาม อันเป็นสิ่งที่ธรรมชาติสร้างสรรค์ให้กับมวลมนุษย์ ในช่วงเวลาที่ฝนตกซึ่งเปรียบได้กับการเผชิญความทุกข์และปัญหา แต่ถ้าเราอดทนให้ฝนหยุดตก อดทนต่อปัญหาที่รุมเร้า เราก็จะได้พบกับสายรุ้งที่งดงาม ซึ่งเปรียบได้กับปัญหาได้ผ่านพ้นไป มีความสุขเข้ามาแทนที่ค่ะ 


เครดิตภาพจาก https://www.zcool.com.cn/work/ZMjc2ODkyOTI=.html


สำหรับคำว่า สายรุ้ง แล้ว ในภาษาจีน จะเขียนแบบนี้ค่ะ 彩虹 เมื่อออกเสียงเป็นภาษาจีนกลางนั้น จะพูดว่า “ไฉ่หง” ในขณะที่ภาษาจีนแต้จิ๋วจะพูดว่า “ไฉ่ฮ้ง” ทางด้านภาษาจีนกวางตุ้ง จะพูดได้ว่า “ฉ่อย ห่ง” ค่ะ



     ปิดท้ายด้วยอาคารสายรุ้ง หรือที่นักศึกษาชาวจีนกลุ่มหนึ่งซึ่งศึกษาในมหาวิทยาลัยสยาม ได้เรียกขานว่า 彩虹樓 ค่ะ เนื่องจากอาคารหลังนี้มี ๗ ชั้น แต่ละชั้นทาสีไม่เหมือนกัน   







     อดทนเวลาที่ฝนพรำ อย่างน้อยก็ทำให้เราได้เห็นถึงความแตกต่าง เมื่อวันเวลาที่ฝนจาง ฟ้าก็คงสว่างและทำให้เราได้เข้าใจ ว่ามันคุ้มค่าแค่ไหนที่เฝ้ารอ


+++++++++++++++++++++++++++


     ฉันคือคนหนึ่งที่ชื่อปุ๋ย 

     วันพฤหัสบดีที่ ๑๑ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๒